Bangpakok Hospital
  • A
  • A
  • A
BPK Hotline

สุขภาพดีอย่างเบาใจ ห่างไกล “โรคเบาหวาน”

7 ก.พ. 2568



     โรคเบาหวาน อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่มีอาการอะไรบ่งบอกใดๆ และจะค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ดังนั้นเราจึงควรหมั่นสังเกตตนเอง เพื่อจะได้ป้องกันและรักษาให้ถูกวิธี มาทำความรู้จักกับโรคเบาหวานกันเถอะ!

โรคเบาหวานคืออะไร ?

     โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus) คือโรคที่เกิดจากปัญหาการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด (กลูโคส) เนื่องจากความผิดปกติในการผลิตหรือการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากตับอ่อน (Pancreas) และมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ร่างกายนำกลูโคสจากอาหารไปใช้เป็นพลังงานในเซลล์ต่างๆ โดยปกติอินซูลินจะทำงานร่วมกับระบบต่างๆ ของร่างกายในการรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม

     เมื่อร่างกายไม่สามารถผลิตหรือใช้อินซูลินได้อย่างเหมาะสม น้ำตาลในเลือดจะสะสมสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดโรคเบาหวาน ซึ่งหากปล่อยไว้นานจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพมากมาย

อินซูลิน” เกี่ยวข้องกับ “โรคเบาหวาน” อย่างไร ?

     อินซูลิน เป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่ง ซึ่งสร้างและหลั่งออกมาจากเบต้าเซลล์ของตับอ่อน มีหน้าที่พาน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ของร่างกาย เพื่อเผาผลาญเป็นพลังงานในการดำเนินชีวิต หากร่างกายขาดอินซูลินหรืออินซูลินออกฤทธิ์ได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ร่างกายก็จะนำน้ำตาลไปใช้ไม่ได้ เป็นเหตุให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นจนเกิดเป็น โรคเบาหวาน นอกจากนี้การขาดอินซูลินยังทำให้เกิดความผิดปกติในด้านอื่นๆด้วย เช่น มีการสลายตัวของสารไขมันและโปรตีนในร่างกายที่ผิดปกติ

ชนิดของโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานแบ่งเป็น 4 ชนิด ตามสาเหตุของการเกิดโรค 

  1. โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (type 1 diabetes mellitus, T1DM) เกิดจากเซลล์ตับอ่อนถูกทำลายจากภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ขาดอินซูลิน มักพบในเด็ก
  2. โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (type 2 diabetes mellitus, T2DM) เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด ร้อยละ 95 ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด เกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน พบมากในวัยผู้ใหญ่ มักพบร่วมกับโรคร่วมอื่นๆ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน
  3. โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (gestational diabetes mellitus, GDM) เกิดจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในช่วงตั้งครรภ์ มักเกิดเมื่อไตรมาส 2 - 3 ของการตั้งครรภ์ เมื่อคลอดแล้วเบาหวานก็จะหายไป แต่เพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานในอนาคตได้
  4. โรคเบาหวานที่มีสาเหตุจำเพาะ (specific types of diabetes due to other causes) มีได้หลายสาเหตุ เช่น โรคทางพันธุกรรม โรคของตับอ่อน โรคทางต่อมไร้ท่อ ยาบางชนิด เป็นต้น
     เบาหวานที่พบได้บ่อยที่สุด คือเบาหวานชนิดที่ 2 สาเหตุของโรคเบาหวานชนิดนี้เกิดจากกรรมพันธุ์และการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การรับประทานอาหารประเภทแป้ง ของหวานมากเกินไป ภาวะน้ำหนักเกิน อ้วนลงพุง การขยับร่างกายที่น้อยลง ไม่ออกกำลังกาย เป็นต้น เบาหวานชนิดนี้ มักเกิดในกลุ่มคนที่มีอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตาม โรคเบาหวานชนิดที่ 2 พบว่าเกิดในกลุ่มคนที่มีอายุน้อยลงเรื่อยๆ เช่น อายุ 20 - 30 ปี ซึ่งสัมพันธ์กับพฤติกรรมในการใช้ชีวิตและการมีน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนจะทำให้เกิดเบาหวานได้เร็วขึ้น ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่อายุยังน้อยและมีโรคอ้วน หากตรวจพบเร็วทำการรักษาทันที ควบคุมอาหารและลดน้ำหนักได้มากพออาจทำให้เบาหวานเข้าสู่ระยะสงบ ดังนั้น การควบคุมเบาหวานให้อยู่ในระดับที่ปกติ จึงมีความสำคัญอย่างมาก รวมถึงการค้นหาโรคเบาหวานในกลุ่มเสี่ยง เพื่อป้องกันและการรักษาโรคเบาหวานได้อย่างทันท่วงที จะส่งผลให้ลดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานระยะยาวได้ 

ใครบ้างมีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน

  • ทุกคนที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป
  • ผู้ที่มีภาวะอ้วนหรือน้ำหนักเกิน (BMI > 25 กก./ม.2 และ/หรือ มีรอบเอวเกินมาตรฐาน) ร่วมกับ มีพ่อ แม่ พี่ หรือ น้อง เป็นโรคเบาหวาน
  • เป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือรับประทานยาควบคุมความดันโลหิตอยู่
  • เป็นโรคไขมันในเลือดสูง (ระดับไตรกลีเซอไรด์ > 250 มก./ดล.และ/หรือ HDL< 35 มก./ดล.) หรือได้รับยาลดไขมันในเลือดอยู่
  • มีประวัติเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (หรือเคยคลอดบุตรที่น้ำหนักตัวแรกเกิดเกิน 4 กิโลกรัม)
  • มีโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • เคยได้รับการตรวจระดับน้ำตาลผิดปกติ เป็นเกณฑ์เสี่ยงเบาหวาน
  • ผู้หญิงที่มีโรคถุงน้ำในรังไข่

     คนที่มีความเสี่ยงสูงในการเป็นโรคเบาหวานมักมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างรวมกัน ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองเบาหวานเป็นประจำทุกปี

โรคเบาหวานมีอาการอย่างไร ?
     โรคเบาหวานโดยทั่วไปจะมีอาการที่เกิดขึ้นจากการที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป (Hyperglycemia) ซึ่งอาจไม่แสดงอาการในช่วงแรก ๆ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีเบาหวานประเภทที่ 2 แต่เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากขึ้น จะเริ่มแสดงอาการที่เด่นชัดขึ้น ได้แก่ กระหายน้ำบ่อย ปัสสาวะมีปริมาณมากและบ่อย รวมถึงอาการต่างๆ เหล่านี้ อาทิ

  • เหนื่อย อ่อนเพลีย
  • มีอาการชาที่เท้า หรือรู้สึกเจ็บแปลบๆ ที่ปลายเท้า หรือที่เท้า
  • น้ำหนักลดผิดปกติ โดยไม่สามารถหาสาเหตุได้
  • เมื่อเกิดบาดแผลที่บริเวณต่างๆ ของร่างกายมักหายช้ากว่าปกติ โดยเฉพาะแผลที่เกิดกับบริเวณเท้า
  • สายตาพร่ามัว

การวินิจฉัยโรคเบาหวาน

     การวินิจฉัยเบาหวาน สามารถทำได้โดยวิธีใดวิธีหนึ่งใน 4 วิธี ดังต่อไปนี้

  1. มีอาการโรคเบาหวานชัดเจน ได้แก่ หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อยและปริมาณมาก น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่มีสาเหตุ ร่วมกับตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเวลาใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร มีค่า ≥200 มก./ดล.
  2. ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร (อย่างน้อย 8ชั่วโมง) ≥ 126 มก./ดล.
  3. การตรวจความทนต่อกลูโคส โดยให้รับประทานกลูโคส 75 กรัม แล้วตรวจระดับน้ำตาลในเลือดที่ 2 ชั่วโมง ถ้ามีค่า ≥ 200 มก./ดล.
  4. การตรวจระดับน้ำตาลสะสม (A1C) ≥5% โดยวิธีการตรวจและห้องปฏิบัติการต้องได้รับการรับรองตามมาตรฐานที่กำหนด

การป้องกันโรคเบาหวาน

     ในปัจจุบันยังไม่สามารถป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ได้ แต่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 นั้นสามารถป้องกันได้ การดูแลตนเองเพื่อป้องกันเป็นสิ่งสำคัญ สามารถเริ่มได้จากการสำรวจความเสี่ยงของตนเองก่อนว่า มีความเสี่ยงต่อการเป็น โรคเบาหวานหรือไม่ หากสงสัยว่าตนเองมีความเสี่ยงโรคเบาหวาน ควรมาตรวจคัดกรองโรคเบาหวานและปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง หากตรวจพบจะได้สามารถเริ่มทำการรักษาได้โดยที่ไม่ต้องรอให้มีอาการหรือภาวะแทรกซ้อน และสำหรับผู้ที่ยังไม่ตรวจพบแต่มีความเสี่ยงเป็นเบาหวาน ก็จะได้วางแผนป้องกันด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย ลดน้ำหนัก เพื่อไม่ให้ตนเองเข้าข่ายโรคเบาหวานให้มากที่สุด

 

การรักษาโรคเบาหวาน

     การรักษาโรคเบาหวาน เป็นการรักษาที่ต้องอาศัยความร่วมมือทั้งจากแพทย์ พยาบาล นักโภชนาการ และ ที่สำคัญที่สุดคือตัวผู้ป่วยเอง ผู้ป่วยต้องตระหนักถึงความสำคัญของการรักษา โดยต้องเข้าใจก่อนว่า โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ที่ใกล้เคียงปกติที่สุดได้ ผู้ป่วยเบาหวานสามารถใช้ชีวิตประจำวันและทำกิจกรรมต่างๆ รวมถึงทำงานประจำได้ตามปกติ หากแต่ต้องควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติโดยการควบคุมอาหาร  ออกกำลังกาย และใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด รวมทั้งติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ได้มาก

  • การควบคุมอาหาร การรักษาโรคเบาหวานด้วยวิธีการควบคุมอาหารมีความสำคัญมากในการลดระดับน้ำตาลในเลือด และถือเป็นการรักษาหลักที่ผู้ป่วยเบาหวานทุกรายควรเข้าใจและปฏิบัติอย่างถูกต้อง โดยควรจำกัดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เน้นทานโปรตีนและผัก
  • การออกกำลังกาย ช่วยให้อินซูลินทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แนะนำว่าควรออกกำลังกายชนิดแอโรบิค และเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน เช่น วิ่งเหยาะๆ ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ให้ได้อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ และออกกำลังกายชนิดต้านน้ำหนัก เช่น การยกเวท เป็นเวลาอย่างน้อย 45 นาทีต่อวัน 2 วันต่อสัปดาห์ และไม่ควรนั่งอยู่เฉยๆ หรือนอนเล่นพักผ่อนเกิน 90 นาที หากเกินควรลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบถ
  • การใช้ยา การรักษาโรคเบาหวานโดยการใช้ยา แพทย์จะพิจารณาจากชนิดของโรคเบาหวาน เช่น เบาหวานชนิดที่ 1 ควรรักษาโดยการฉีดอินซูลินเท่านั้น ส่วนในเบาหวานชนิดที่ 2 แพทย์จะพิจารณาตามโรคร่วม, ความรุนแรงของโรคและภาวะแทรกซ้อน โอกาสการเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำ ของผู้ป่วย เพื่อประกอบการพิจารณาในการเลือกใช้ยา

     
     หากเป็นเบาหวานระยะแรกๆ
ควรเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ หากผู้ป่วยควบคุมน้ำตาลได้ดี ออกกำลังกาย คุมอาหารได้ดี การคุมระดับน้ำตาลก็จะได้เป้าหมายในระยะยาวก็จะไม่เกิดโรคแทรกซ้อน ซึ่งโรคแทรกซ้อนของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ได้แก่ เส้นเลือดหัวใจตีบ เส้นเลือดในสมองตีบ เบาหวานขึ้นตา ไตวาย เส้นประสาทปลายเท้าเสื่อม หากเกิดโรคแทรกซ้อนแล้ว ควรเข้ารับการรักษาและดูแลตนเองให้ดีเป็นพิเศษ ติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพราะเบาหวานเป็นโรคเรื้อรัง การวินัยในการรักษาและความร่วมมือของผู้ป่วยจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก


สนับสนุนข้อมูลโดย : พญ.วีนิตา พิพิธประพัฒน์ แพทย์เฉพาะทางโรคต่อมไร้ท่อ เบาหวาน และไทรอยด์ 
ศูนย์การแพทย์ : ศูนย์อายุรกรรมเฉพาะทาง โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร.
1745 ศูนย์อายุรกรรมเฉพาะทาง

Go to top
Copyright © 2019 Bangpakok Hospital All rights reserved.