คุณแม่เตรียมพร้อมการคลอดธรรมชาติและผ่าตัดคลอด วิธีไหนเหมาะกับเรา?

การคลอดคืออะไร
การคลอด คือกระบวนการที่ทารกในครรภ์เคลื่อนตัวออกจากมดลูกของคุณแม่ สู่โลกภายนอกผ่านทางช่องคลอด หรือในบางกรณีอาจเป็นการผ่าตัดคลอดผ่านทางหน้าท้อง การคลอดเป็นช่วงเวลาสำคัญที่แสดงถึงจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ และเป็นอีกก้าวสำคัญของผู้หญิงในการก้าวสู่ความเป็นแม่อย่างเต็มตัว
การคลอดธรรมชาติและผ่าตัดคลอดแตกต่างกันอย่างไร
สำหรับคุณแม่ทุกท่านที่อาจกำลังเกิดคำถามในใจ ว่าสุดท้ายแล้วควรจะเลือกวิธีการคลอดแบบไหนให้เหมาะกับตนเอง วันนี้ โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล ขอนำข้อเปรียบเทียบของการคลอดในรูปแบบต่างๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจ
การคลอดแบบธรรมชาติเหมาะกับใคร?
การคลอดธรรมชาติ คือการคลอดทางช่องคลอดโดยไม่ต้องผ่าตัดจะเหมาะกับคุณแม่ที่ไม่มีความเสี่ยง มีสุขภาพที่สมบูรณ์ และมีภาวะแทรกซ้อนน้อยในขณะตั้งครรภ์ โดยแผลที่เกิดจากการคลอดธรรมชาติจะมีขนาดเล็ก และสมานตัวได้เร็วกว่าแผลผ่าตัดคลอด โอกาสที่จะติดเชื้อหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังคลอดก็น้อยกว่า รวมทั้งการฟื้นตัวก็จะเร็วกว่า ส่งผลให้หลังคลอด คุณแม่จะเจ็บหรือปวดบริเวณแผลคลอดเพียงไม่มาก สามารถเคลื่อนไหวร่างกายหรือขยับตัวหลังคลอดได้อย่างคล่องตัวแทบจะทันที ไม่ว่าพลิกตัว จะลุก จะนั่ง หรือจะเดิน ก็ทำได้สะดวก
- อายุครรภ์ครบกำหนดแล้ว (37–42 สัปดาห์)
- ทารกอยู่ในท่าศีรษะลง หันลงในท่าเตรียมคลอด ซึ่งเป็นท่าที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการคลอดทางช่องคลอด
- คุณแม่ไม่มีโรคประจำตัวที่เสี่ยงต่อการคลอด เช่น ความดันสูง เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ หรือโรคหัวใจรุนแรง
- ทารกมีขนาดตัวไม่ใหญ่เกินไป โดยทั่วไปน้ำหนักควรไม่เกิน 4,000 กรัม เพื่อให้ผ่านช่องคลอดได้ง่าย
- ปากมดลูกเริ่มเปิด และมดลูกบีบตัวได้ดี เป็นสัญญาณว่าร่างกายแม่พร้อมสำหรับการคลอดแล้ว
- คุณแม่มีแรงเบ่งเพียงพอ และสภาพร่างกายแข็งแรง เช่น ไม่มีปัญหาเรื่องกระดูกเชิงกราน หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง
- ไม่มีภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ เช่น รกเกาะต่ำ น้ำคร่ำน้อยหรือมากผิดปกติ เด็กพันสายสะดือ ฯลฯ เป็นต้น
การคลอดแบบผ่าตัดเหมาะกับใคร
การคลอดแบบผ่าตัด คือการผ่าเอาทารกออกทางหน้าท้องและมดลูก แทนที่จะผ่านช่องคลอด ซึ่งมักใช้เมื่อมีความเสี่ยงหรือเหตุผลทางการแพทย์ที่ทำให้การคลอดธรรมชาติไม่ปลอดภัยพอ หรือไม่สามารถทำได้ตามปกติ
เป็นวิธีที่เหมาะกับคุณแม่ที่ไม่สามารถคลอดเองได้ตามธรรมชาติ ภาวะครรภ์ไม่ปกติ หรือมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น สายสะดือย้อย รกต่ำกว่าปกติ รกลอกตัวก่อนกำหนด เด็กท่าก้นหรือไม่กลับหัว เด็กตัวโต อุ้งเชิงกรานมารดาแคบ ทารกมีความพิการที่ไม่สามารถคลอดเองได้ ปากมดลูกไม่เปิดหรือเปิดช้า หรือทารกมีภาวะหัวใจเต้นช้า เป็นต้น ซึ่งการผ่าตัดคลอดจะใช้ระยะเวลาในการคลอดสั้นกว่าการคลอดธรรมชาติ และมีขนาดแผลหรือรอยแผลเป็นที่ต่างกับการคลอดธรรมชาติ อีกทั้งการผ่าตัดคลอดจะลดความเสี่ยงเรื่องหัวใจทารกเต้นผิดปกติในช่วงรอคลอดได้ ซึ่งพบได้จากหลายสาเหตุ เช่น สายสะดือโดนกดทับหลังจากการมีน้ำเดิน ออกซิเจนในเลือดของเด็กต่ำ โดยมักพบในทารกที่มีน้ำหนักเกินกำหนดหรือมีภาวะรกเสื่อม แต่คุณแม่ที่ใช้วิธีผ่าตัดคลอด หลังจากที่คลอดแล้วจะต้องดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้แผลหลังผ่าตัดคลอดเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อได้
ข้อดีของการการคลอดธรรมชาติ
- ร่างกายฟื้นตัวเร็ว
- เสียเลือดน้อยกว่าผ่าคลอด
- มดลูกหดตัวเข้าอู่เร็วขึ้น
- ไม่มีแผลผ่าตัด และแผลที่มดลูก
- รูปร่างคุณแม่เข้าที่เร็วกว่าผ่าคลอด
- ทารกมีภูมิคุ้มกันที่ดีจากแบคทีเรียชนิดดีในช่องคลอด
- ทารกได้รับการบีบของเหลวออกจากปอดขณะคลอด
ข้อดีของการผ่าคลอด
- ไม่ต้องรอเจ็บท้องนาน
- ไม่เสี่ยงภาวะแทรกซ้อนระหว่างรอคลอด
- ไม่เจ็บระหว่างทำคลอด
- สามารถกำหนดวันเวลาคลอดที่เหมาะสมได้
- หากสภาวะครรภ์มีความเสี่ยงจะช่วยให้ปลอดภัยได้ดีกว่าคลอดแบบธรรมชาติ
- สามารถทำหมันได้เลย
วิธีการคลอดมี 2 รูปแบบใหญ่ๆ คือ การคลอดแบบธรรมชาติ และการคลอดด้วยวิธีผ่าตัด การที่จะเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งได้นั้น จำเป็นต้องผ่านการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์เฉพาะทางเสียก่อน โดยปกติแล้วจะใช้เวลาในการตั้งครรภ์ทั้งหมด 40 สัปดาห์ นับจากประจำเดือนครั้งสุดท้าย แบ่งออกเป็น 3 ไตรมาสคือ ไตรมาสแรกคือ 12 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ ไตรมาสที่ 2 คือ 12 - 28 สัปดาห์ หลังจากนั้นจะเข้าสู่ไตรมาสที่ 3 ซึ่งถือว่าครบกำหนดตั้งแต่อายุครรภ์ 37 สัปดาห์เป็นต้นไป คุณแม่ 70 - 80% อาจมีอาการเจ็บท้องคลอดในระยะนี้ และควรรีบมาพบแพทย์เมื่อมีอาการ ซึ่งควรเตรียมการตั้งแต่การตั้งครรภ์เข้าสู่ไตรมาสที่ 3 เพื่อพิจารณาเลือกวิธีการคลอดที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับคุณแม่เป็นรายบุคคล
การดูแลตนเองหลังการคลอดบุตร
หลังคลอดไม่ว่าจะเป็นการคลอดธรรมชาติหรือผ่าตัด ร่างกายของคุณแม่ต้องใช้เวลาฟื้นฟูอย่างมาก การดูแลตัวเองในช่วงนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงได้เร็วขึ้นและลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ พยายามนอนเมื่อลูกนอน เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นตัวจากความเหนื่อยล้าและการเสียเลือดในระหว่างคลอด ควบคู่กับการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ เนื้อปลา และธัญพืช พร้อมดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อชดเชยน้ำที่เสียไปและช่วยให้น้ำนมไหลดี
ในส่วนของการดูแลแผลคลอดนั้น หากคลอดธรรมชาติและมีแผลเย็บ ควรทำความสะอาดเบา ๆ ด้วยน้ำอุ่นจากด้านหน้าไปด้านหลัง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ส่วนคุณแม่ที่ผ่าตัดคลอดควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดและหลีกเลี่ยงการยกของหนัก เพื่อไม่ให้แผลฉีกขาดหรือติดเชื้อ นอกจากนี้ควรระวังเรื่องการขับถ่าย พยายามไม่กลั้นอุจจาระ ดื่มน้ำและรับประทานอาหารที่มีกากใยสูงเพื่อลดโอกาสท้องผูก หากมีอาการปัสสาวะลำบากหรือเจ็บ ควรรีบปรึกษาแพทย์
การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างช้า ๆ เช่นการเดินเบา ๆ ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดและลดความเสี่ยงการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือด รวมถึงช่วยระบบขับถ่ายให้ทำงานได้ดีขึ้น คุณแม่ควรฝึกบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานเพื่อช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและป้องกันปัสสาวะเล็ด สำหรับการให้นมนั้น ควรให้ลูกดูดบ่อย ๆ เพื่อกระตุ้นการสร้างน้ำนม หากมีอาการเต้านมคัดหรือเจ็บ การประคบอุ่นก่อนให้นมและประคบเย็นหลังให้นมจะช่วยบรรเทาอาการได้ หากพบอาการอักเสบ เช่น เจ็บ บวม หรือแดง ควรรีบพบแพทย์
ในเรื่องของเลือดออกหลังคลอด เป็นเรื่องปกติที่เลือดจะออกเรื่อย ๆ และค่อย ๆ ลดลง หากพบว่าเลือดออกมากเกินไป หรือมีกลิ่นผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน ด้านจิตใจ คุณแม่บางคนอาจเผชิญกับอาการ “เบบี้บลูส์” คืออารมณ์แปรปรวน ร้องไห้ง่าย ซึ่งมักจะดีขึ้นภายในสองสัปดาห์ แต่ถ้ารู้สึกเศร้าหรือหดหู่นานกว่า 2 สัปดาห์ หรือมีความคิดทำร้ายตัวเองและลูก ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ทันที เพื่อป้องกันภาวะซึมเศร้าหลังคลอด
สุดท้ายนี้ การไปพบแพทย์ตามนัดหลังคลอดเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะแพทย์จะช่วยประเมินสุขภาพโดยรวมและติดตามการฟื้นฟูร่างกาย เพื่อให้มั่นใจว่าคุณแม่พร้อมสำหรับการดูแลลูกน้อยอย่างเต็มที่ หากพบอาการผิดปกติ เช่น เจ็บแผลรุนแรง ไข้ หรือเลือดออกมาก ควรไปพบแพทย์โดยทันที การดูแลตัวเองหลังคลอดอย่างถูกวิธีจะช่วยให้คุณแม่มีสุขภาพร่างกาย และสุขภาพจิตใจที่ดี
สนับสนุนข้อมูลโดย : นพ.นพดล จันทรเทพขวัญ แพทย์เฉพาะทางด้านสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา, เวชศาสตร์ครอบครัว
ศูนย์การแพทย์ : ศูนย์สตรี ชั้น8 โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 1745 ต่อ ศูนย์สตรี