Bangpakok Hospital
  • A
  • A
  • A
BPK Hotline

ERCP การส่องกล้องตรวจทางเดินน้ำดีและตับอ่อน คืออะไร

18 ก.ย. 2568


การส่องกล้องตรวจทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (ERCP) คืออะไร?

          การตรวจวินิจฉัยและรักษาท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อนด้วยวิธีส่องกล้อง หรือที่เรียกว่า ERCP (Endoscopic Retrograde Cholangiopancreatography) เป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่ใช้กล้องชนิดพิเศษส่องตรวจร่วมกับการถ่ายภาพเทคนิคพิเศษทางรังสี (Fluoroscopy) เพื่อดูความผิดปกติในบริเวณท่อทางเดินน้ำดี และตับอ่อน โดยแพทย์สามารถตรวจวินิจฉัยและรักษาไปพร้อมกันในขั้นตอนเดียวได้ เช่น การนำนิ่วออกจากท่อทางเดินน้ำดี หรือการใส่ท่อช่วยระบายในกรณีที่มีการอุดตันของท่อทางเดินน้ำดี

 

ใครควรส่องกล้องตรวจท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (ERCP)?

          ผู้ที่มีอาการหรือภาวะดังนี้ควรเข้ารับการตรวจ

  1. มีอาการปวดท้องเฉียบพลันบริเวณท้องด้านขวาบนหรือกลางท้อง ที่สงสัยว่าเกี่ยวข้องกับท่อทางเดินน้ำดีหรือตับอ่อน
  2. ตัวเหลือง ตาเหลือง (ดีซ่าน) เนื่องจากมีการอุดตัน อุดกั้นของท่อทางเดินน้ำดี
  3. มีไข้ร่วมกับดีซ่าน หรือสงสัยว่ามีการติดเชื้อในท่อทางเดินน้ำดี
  4. ตรวจพบนิ่วในท่อทางเดินน้ำดีหรือตับอ่อนจากการตรวจอื่น เช่น อัลตราซาวด์หรือเอกซเรย์
  5. ท่อทางเดินน้ำดีหรือทางเดินตับอ่อนตีบแคบ หรือมีการอุดตัน
  6. ตรวจพบหรือสงสัยเนื้องอกหรือมะเร็งบริเวณท่อทางเดินน้ำดีหรือตับอ่อน
  7. ต้องการใส่ท่อช่วยระบายน้ำดีในกรณีที่มีการอุดกั้นเรื้อรัง

 

โรคใดบ้างที่ตรวจวินิจฉัย และ/หรือรักษาได้ด้วยวิธี ERCP

  1. นิ่วในท่อทางเดินน้ำดี สามารถนำออกได้ด้วยวิธีการทำ ERCP
  2. ท่อทางเดินน้ำดีอุดตันหรือตีบแคบจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น การอักเสบหรือเนื้องอกบริเวณรอบท่อทางเดินน้ำดี
  3. กรณีสงสัยมะเร็งท่อทางเดินน้ำดี สามารถทำ ERCP เก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อ เพื่อนำไปตรวจวิเคราะห์ และใส่ท่อระบายในกรณีที่มีการอุดกั้นท่อทางเดินน้ำดีร่วมด้วย
  4. ตับอ่อนอักเสบเรื้อรังที่มีนิ่วหรือทางเดินตับอ่อนตีบตัน ช่วยในการขจัดนิ่วและขยายทางเดิน
  5. การรั่วของท่อทางเดินน้ำดี
  6. ติดเชื้อในท่อทางเดินน้ำดี (Acute cholangitis) ช่วยระบายท่อทางเดินน้ำดีที่อุดตัน
  7. ภาวะน้ำดีไหลผิดปกติหรือตีบตันจากโรคอื่น ๆ เช่น พังผืด หรือความผิดปกติทางโครงสร้างของทางเดินน้ำดี

 

ขั้นตอนการส่องกล้องตรวจทางเดินน้ำดี และตับอ่อน ERCP

   1.การเตรียมตัวก่อนการส่องกล้องตรวจทางเดินน้ำดี และตับอ่อน ERCP

          1.1 งดน้ำและอาหารอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง

          1.2 ต้องแจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัวที่มี เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน แจ้งประวัติแพ้ยา โดยเฉพาะยาระงับความรู้สึกหรือยาชา

          1.3 งดใช้ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาละลายลิ่มเลือดหรือยาต้านเกล็ดเลือด ตามคำแนะนำของแพทย์

   2.ขั้นตอนระหว่างการส่องกล้องตรวจทางเดินน้ำดี และตับอ่อน ERCP

          แพทย์จะทำการส่องกล้องผ่านทางปาก ไปยังหลอดอาหาร กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น ตามลำดับ ลงไปจนถึงบริเวณที่ท่อน้ำดีเปิดเข้าสู่ลำไส้เล็ก จากนั้นจะใส่อุปกรณ์พิเศษร่วมกับการฉีดสารทึบรังสีเข้าไปในท่อน้ำดีเพื่อตรวจสอบความผิดปกติผ่านภาพถ่ายเทคนิคพิเศษทางรังสี หากพบว่ามีนิ่ว แพทย์อาจขยายรูเปิดของท่อน้ำดีด้วยการตัดเล็กน้อยโดยใช้ลวดไฟฟ้า แล้วใช้บอลลูนลากนิ่ว เพื่อให้นิ่วสามารถหลุดออกมาได้ง่ายขึ้น โดยทั่วไปแผลจากการตัดมักจะหายภายในหนึ่งสัปดาห์ แต่หากพบว่ามีการอุดตันหรือตีบแคบของท่อทางเดินน้ำดี แพทย์จะใส่ท่อระบายเพื่อช่วยให้น้ำดีไหลผ่านได้สะดวก

   3.การปฏิบัติตัวหลังการส่องกล้องตรวจทางเดินน้ำดี และตับอ่อน ERCP

          หลังจากการส่องกล้อง ผู้ป่วยควรพักรักษาตัวในโรงพยาบาลอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อให้แพทย์เฝ้าสังเกตอาการที่อาจเกิดขึ้น ควรงดรับประทานอาหารและน้ำในช่วงแรก อาการที่พบได้หลังทำหัตถการ ได้แก่ ระคายเคืองบริเวณลำคอเล็กน้อย บางรายอาจรู้สึกอึดอัดแน่นท้องหลังการส่องกล้อง แต่อาการดังกล่าวจะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ

 

ประโยชน์ของการส่องกล้องตรวจท่อทางเดินน้ำดี และตับอ่อน ERCP

          -วินิจฉัยและรักษาได้พร้อมกัน ช่วยให้ประหยัดเวลาและลดค่าใช้จ่าย เพราะสามารถตรวจหาความผิดปกติและรักษาได้ภายในขั้นตอนเดียว

          -มีความปลอดภัย ความเสี่ยงน้อย เป็นหัตถการที่มีภาวะแทรกซ้อนต่ำ และมีอัตราความสำเร็จสูง เหมาะสำหรับผู้ป่วยหลากหลายกลุ่ม รวมถึงผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว

          -เจ็บน้อย ฟื้นตัวไว ไม่มีแผลผ่าตัดทางหน้าท้อง (เนื่องจากเป็นเพียงการส่องกล้อง)

          -ใช้เวลาในการทำหัตถการเพียง 1–2 ชั่วโมง และโดยทั่วไปพักฟื้นต่อในโรงพยาบาลเพียง 1–2 วัน ก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

          -สามารถตรวจพบโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ช่วยให้ตรวจพบปัญหา เช่น เนื้องอก พังผืด หรือมะเร็งในระยะเริ่มต้น สามารถนำไปสู่การรักษาได้อย่างทันท่วงที

          -ลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่น ท่อทางเดินน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน จนอาจนำไปสู่การติดเชื้อในกระแสเลือดตามมา



สนับสนุนข้อมูลโดย : พญ. ศุภวรรษา ไพลดำ แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ระบบทางเดินอาหารและตับ

ศูนย์การแพทย์ :  ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ชั้น 10 โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 1745 ต่อ ศูนย์ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ

Go to top
Copyright © 2019 Bangpakok Hospital All rights reserved.