โรคฝีดาษลิง ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
ฝีดาษลิงคืออะไร
โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคติดเชื้อที่อาการไม่รุนแรงเกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่ม Orthopoxvirus ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับเชื้อไวรัสโรคฝีดาษหรือโรคไข้ทรพิษ เป็นโรคประจำถิ่นของประเทศในแถบแอฟริกา และในช่วงที่ผ่านมาพบการระบาดของโรคในประเทศแถบแอฟริกาและยุโรปมากขึ้น แม้จะมีลักษณะและอาการคล้ายโรคฝีดาษ แต่ฝีดาษลิงจะมีความรุนแรงของโรคต่ำกว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักหายได้เองภายใน 2 - 4 สัปดาห์ อัตราการเสียชีวิตโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 0 - 11% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยเด็ก ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงหลังอัตราการเสียชีวิตลดลงเป็น 3 - 6% โดยผู้ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น คือ เด็ก วัยรุ่น และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เนื่องจากประชาชนวัยผู้ใหญ่บางส่วนเคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษมาก่อน ซึ่งมีส่วนช่วยป้องกันโรคฝีดาษลิงได้
การติดต่อและการแพร่เชื้อของโรคฝีดาษลิง
- การติดต่อจากสัตว์สู่คน
ฝีดาษลิงติดต่อได้จากการสัมผัสเลือด สารคัดหลั่ง แผลของสัตว์ที่ติดเชื้อ หรือการกินเนื้อสัตว์ติดเชื้อที่ไม่ปรุงสุก โดยในทวีปแอฟริกาพบโรคฝีดาษลิงในกลุ่มสัตว์ฟันแทะ เช่น กระรอก หนู และลิงบางชนิด แหล่งรังโรคตามธรรมชาติยังไม่ชัดเจนแต่มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นกลุ่มสัตว์ฟันแทะ
- การติดต่อจากมนุษย์สู่มนุษย์
ฝีดาษลิงติดต่อจากมนุษย์ เกิดจากการสัมผัสสารคัดหลั่งทางเดินหายใจจากผู้ติดเชื้อ บาดแผล หรือสิ่งของที่ผู้ติดเชื้อสัมผัส การติดเชื้อผ่านละอองฝอยมักต้องใช้เวลาในการสัมผัสตัวต่อตัว จึงทำให้บุคลากรทางการแพทย์และผู้ที่อยู่อาศัยร่วมกับผู้ติดเชื้อเพิ่มโอกาสติดเชื้อมากขึ้น มีโอกาสติดเชื้อจากมารดาสู่ทารกผ่านทางรกหรือระหว่างคลอด
- การติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ยังไม่มีการยืนยันว่าโรคฝีดาษลิงสามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่ แต่ระยะหลังพบผู้ติดเชื้อที่เป็นกลุ่มชายรักร่วมเพศจำนวนมาก ซึ่งมีรอยโรคบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์และใกล้อวัยวะสืบพันธุ์ จึงทำให้มีการคาดการณ์ว่าโรคฝีดาษลิงอาจสามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือจากการสัมผัสใกล้ชิดระหว่างกิจกรรมทางเพศได้
โอกาสการเกิดโรค และ กลุ่มเสี่ยงโรคฝีดาษลิง
จากลักษณะของการติดต่อ ผู้ที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อฝีดาษลิงมาก คือ
- ผู้ที่อาศัยหรือมีการเดินทางเข้าไปในพื้นที่ที่มีการระบาด เช่น ในประเทศแถบแอฟริกา
- ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์หรือผู้ป่วยที่ติดเชื้อ
- บุคลากรทางการแพทย์
- นักวิจัยที่มีการทำวิจัยเกี่ยวกับเชื้อฝีดาษลิง
- ผู้อยู่อาศัยร่วมกับผู้ติดเชื้อ
- ผู้ที่มีกิจกรรมทางเพศกับผู้ติดเชื้อ
- ผู้อาศัยติดเขตป่ามีโอกาสสัมผัสกับสัตว์ติดเชื้อมากขึ้น แต่ความเสี่ยงในการแพร่เชื้อในลักษณะอื่นยังมีอัตราต่ำ
อาการของโรคฝีดาษลิง
โรคฝีดาษลิงมักมีระยะเพาะเชื้อ 6 - 13 วัน หลังจากนั้นจะเริ่มมีอาการ โดยอาการของโรคแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ
- อาการโรคฝีดาษลิง ระยะแรก (0 - 5 วัน)
- จะมีอาการไข้
- ปวดศีรษะ
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- ปวดหลัง
- อ่อนเพลีย
- ต่อมน้ำเหลืองโต (ซึ่งเป็นอาการที่สามารถแยกโรคฝีดาษลิงออกจากฝีดาษและสุกใสได้ เนื่องจากโรคสุกใสมักไม่พบต่อมน้ำเหลืองโต)
- อาการโรคฝีดาษลิง ระยะผื่น (1 - 3 วันหลัง จากมีไข้)
ผื่นจะมีมากที่ใบหน้าและแขนขามากกว่าลำตัว สามารถพบที่บริเวณมือ เท้า เยื่อบุในช่องปาก อวัยวะเพศ เยื่อบุตาขาวและกระจกตาได้ ลักษณะของผื่นจะเริ่มจากเป็นผื่นแดง ผื่นนูน กลายเป็นตุ่มน้ำใส และกลายเป็นตุ่มน้ำแข็ง หลังจากนั้นจะแห้งเป็นสะเก็ดและหลุดไป ในรายที่มีอาการมากตุ่มอาจรวมกันเป็นตุ่มขนาดใหญ่และหลุดลอกไปพร้อมผิวหนังได้ ผู้ป่วยที่มีอาการดังกล่าวส่วนใหญ่มักหายเองได้ภายใน 2 - 4 สัปดาห์
ภาวะแทรกซ้อนของโรค
อาจเกิดโรคแทรกซ้อน ได้แก่ ภาวะปอดอักเสบ ติดเชื้อในกระแสเลือด ติดเชื้อในระบบประสาท สูญเสียการมองเห็นจากการติดเชื้อที่กระจกตา
การวินิจฉัยโรคฝีดาษลิง
ผู้ป่วยที่มีผื่น ควรได้รับการแยกจากโรคอื่นๆ เช่น ฝีดาษ สุกใส หิด ซิฟิลิส การติดเชื้อทางผิวหนัง และอาการแพ้ยาอื่นๆ อาการต่อมน้ำเหลืองโตจะช่วยบ่งชี้โรคฝีดาษลิงจากโรคฝีดาษและสุกใสได้ การวินิจฉัยที่แน่นอนทำได้โดยแพทย์ส่งสิ่งส่งตรวจ (แนะนำให้เป็นรอยโรคทางผิวหนังหรือของเหลวจากตุ่มน้ำ) ไปทำ Polymerase Chain Reaction (PCR) โดยมีขั้นตอนการเก็บและส่งต่อสิ่งส่งตรวจอย่างเหมาะสม และต้องระบุอาการและระยะเวลาการเกิดโรคของผู้ป่วยพร้อมสิ่งส่งตรวจด้วย ผู้ที่เคยได้รับวัคซีนจากเชื้อในกลุ่มนี้มาก่อนอาจมีผลบวกลวงได้ แพทย์จะพิจารณาจากอาการเป็นหลัก โดยเฉพาะอาการมีไข้พร้อมกับตุ่มน้ำใสคือสัญญาณชัดเจนของโรคฝีดาษลิง โดยจะทำการตรวจหาสารพันธุกรรม Real – Time PCR โดยระยะเวลาการตรวจอยู่ที่ 24 – 48 ชั่วโมง และการตรวจลำดับนิวคลิโอไทด์ด้วยเทคนิค DNA Sequencing ที่ใช้ระยะเวลาการตรวจ 4 – 7 วัน
การป้องกันโรคฝีดาษลิง
วัคซีนป้องกันฝีดาษลิง
วัคซีนป้องกันโรคฝีดาษ มีส่วนช่วยในการป้องกันโรคฝีดาษลิงได้ประมาณ 85% ในปัจจุบันมีการพัฒนาวัคซีนชนิดใหม่ที่มีความจำเพาะต่อโรคฝีดาษลิงมากขึ้น การให้ความรู้เกี่ยวกับตัวโรคและการป้องกันตัวเอง เช่น
- ล้างมือด้วยน้ำและสบู่บ่อยๆ ใช้แอลกอฮอล์ล้างมือ
- การหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่เป็นโรค
- หลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ไม่ปรุงสุก
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์หรือสารคัดหลั่งของสัตว์ที่อาจเป็นพาหะ เช่น สัตว์ฟันแทะ ลิง
ผู้ที่ทำงานในห้องวิจัยเกี่ยวกับเชื้อโรคและบุคลากรทางการแพทย์ควรมีการใช้อุปกรณ์ป้องกันตัวเองอย่างเหมาะสม จะสามารถลดความเสี่ยงของการติดโรคได้
การรักษาโรคฝีดาษลิง
ผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงมักหายเองได้ การรักษาจึงมักเป็นการรักษาตามอาการ เช่น การให้สารน้ำและอาหารให้เพียงพอ การป้องกันภาวะแทรกซ้อน และการป้องกันผลข้างเคียงในระยะยาว ในบางประเทศอาจมีการใช้ยาต้านไวรัส เช่นยา tecovirimat และ cidofovir
โรคฝีดาษลิงเมื่อเป็นแล้วสามารถหายจากโรคเองได้ ไม่ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 2 – 4 สัปดาห์จึงหายจากโรค และมียาต้านไวรัสในกลุ่มของฝีดาษคนและฝีดาษลิงที่สามารถรักษาโรคได้ แม้ว่าโรคฝีดาษลิงจะยังมีแนวโน้มการแพร่ระบาดและอัตราการเสียชีวิตต่ำ แต่เนื่องจากมีลักษณะการระบาดที่เปลี่ยนแปลงไป จึงควรมีการเฝ้าระวังและติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด ป้องกันฝีดาษลิงได้โดยสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือให้บ่อย เลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้า ตา จมูก และปาก ระวังสัตว์กัดหรือข่วน ไม่ใช้ของร่วมกับผู้อื่น ไม่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยฝีดาษลิง สิ่งที่ต้องระวังคือ ควรแยกตัวออกจากบุคคลอื่นทันที แยกห้องนอน แยกห้องน้ำ แยกของใช้ ห้ามสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่นโดยเด็ดขาด ที่สำคัญคือห้ามแคะ แกะ เกาผื่นหรือตุ่ม เพื่อป้องกันแผลเป็นที่ทำให้เสียความมั่นใจได้ หากมีอาการเข้าข่ายที่กล่าวมาข้างต้น ควรรีบมาพบแพทย์ทันที
สนับสนุนข้อมูลโดย : นพ.ชัชวาล อึ้งธรรมคุณ แพทย์เฉพาะทางอายุรศาสตร์โรคติดเชื้อ
ศูนย์การแพทย์ : ศูนย์อายุรกรรมเฉพาะทาง โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 1745 ต่อ ศูนย์อายุรกรรมเฉพาะทาง