Bangpakok Hospital
  • A
  • A
  • A
BPK Hotline

ตัวการท้องเสียของลูกรัก “โนโรไวรัส (Norovirus)”

9 ก.พ. 2567



   โนโรไวรัส  (Norovirus) ซึ่งมีชื่อเดิมว่า Norwalk virus เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดการอักเสบของระบบทางเดินอาหาร ระบาดได้ง่ายและรวดเร็วแม้ร่างกายได้รับเชื้อในปริมาณเพียงเล็กน้อย การติดเชื้อไวรัสชนิดนี้จะเกิดขึ้นจากการรับประทานอาหาร น้ำดื่มที่มีเชื้อนี้ปนเปื้อน หรือผ่านการสัมผัสกับพื้นผิวที่มีการปนเปื้อน เช่น จาน ชาม ช้อน ส่วนใหญ่มักทำให้มีอาการอาเจียน ปวดท้องและท้องเสีย ภายใน 12 - 48 ชั่วโมง หลังทานอาหารหรือน้ำที่มีการปนเปื้อนเชื้อนี้ หรือแม้แต่การสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่งจากผู้ป่วยรายอื่นๆก็สามารถติดได้ และอาการท้องเสียมักจะดีขึ้นภายใน 24 - 72 ชั่วโมง หลังจากเริ่มมีอาการป่วย
   อาการท้องเสียสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในเด็กที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้มากกว่าผู้ใหญ่ ซึ่งที่มาของการเกิดท้องเสียอาจจะไม่ได้มาจากโรต้าไวรัสเท่านั้น แต่ยังมีต้นเหตุจากไวรัสที่มีชื่อว่า “โนโรไวรัส” ซึ่งจะทำให้เกิดอาการท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน อาการรุนแรง และติดต่อกันได้ง่าย ฉะนั้นเราควรทำความรู้จักกับไวรัสตัวนี้เพื่อพร้อมรับมือและป้องกันได้อย่างทันท่วงที

 
อาการที่มักพบได้บ่อย
อาการที่พบบ่อยหากได้รับเชื้อโนโรไวรัส ได้แก่

  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ถ่ายเหลว หรือถ่ายเป็นน้ำได้
  • ปวดท้อง
  • ปวดศีรษะ
  • มีไข้ อ่อนเพลีย
  • ปวดเมื่อยตัวตามร่างกาย

   สำหรับรายที่มีอาการอาเจียนและถ่ายเป็นน้ำจำนวนมาก อาจทำให้ผู้ป่วยมีภาวะขาดน้ำรุนแรง จนอาจจะเป็นอันตรายได้ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก มีชีพจรเบาเร็ว และมีความดันโลหิตต่ำได้

การติดต่อและแพร่กระจาย

   เชื้อโนโรไวรัส สามารถติดต่อได้โดยการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อโนโรไวรัสปนเปื้อน พบบ่อยในน้ำดื่ม น้ำแข็ง ผักผลไม้สด เป็นต้น เด็กจับหรือสัมผัสกับสิ่งของที่มีเชื้อโนโรไวรัสแล้วเอานิ้วเข้าปากหรือการสัมผัสกับอาเจียน หรืออุจจาระของผู้ป่วย

การตรวจและรักษา
   ตรวจวินิจฉัยการติดเชื้อโนโรไวรัส ทำได้โดยการเก็บตัวอย่างอุจจาระเพื่อส่งตรวจพิเศษกับห้องปฏิบัติการ เพื่อดูการติดเชื้อ Norovirus  หากพบว่าติดเชื้อโนโรไวรัส แพทย์จะทำการดูแลรักษาตามอาการ ในรายที่อาการไม่รุนแรง อาการจะดีขึ้นและหายได้เองภายใน 2 – 3 วัน         
   แต่หากเด็กเกิดการขาดน้ำอาจทดแทนด้วยการดื่มน้ำเกลือแร่หรือการให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด รับประทานอาหารอ่อน ๆ หรือให้ยาแก้อาเจียนและยาแก้ปวดท้อง หรือต้องได้รับยาฉีดแก้อาเจียนในรายที่อาการรุนแรง  ผู้ป่วยจะมีโอกาสเกิดอันตรายจากการขาดน้ำได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจแต่กำเนิด หรือโรคไต จึงจำเป็นที่จะต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ

การป้องกันโนโรต้าไวรัส

   เชื้อโนโรไวรัสสามารถติดต่อได้ง่ายและปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน รวมถึงยังไม่มียาที่กำจัดเชื้อไวรัสชนิดนี้โดยเฉพาะ แอลกอฮอล์เจลไม่สามารถทำลายเชื้อโนโรไวรัส แต่สามารถป้องกันโดยทั่วไปคือ การดูแลสุขอนามัย กินร้อน ช้อนกลาง การล้างมือด้วยน้ำและสบู่ให้สะอาด หลังจากเข้าห้องน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม เด็กควรงดไปโรงเรียนหรือสถานที่รับเลี้ยงเด็กเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ จนกว่าจะอาการดีขึ้น

วิธีป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ คือ

  • ล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำอย่างน้อย 15 วินาที หลังการเข้าห้องน้ำหรือเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็ก และก่อนทำอาหารหรือกินอาหาร
  • หลีกเลี่ยงน้ำและอาหารที่ไม่สะอาด เพราะเชื้อจะสามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะในน้ำได้นาน
  • ล้างผัก ผลไม้สด ให้สะอาด ทำหอยนางรมหรือหอยชนิดอื่นให้สุกก่อนกิน
  • ทิ้งเศษอาเจียนและอุจจาระอย่างระมัดระวังโดยใช้ผ้าชุปน้ำหมาดๆซับไม่ให้มีการฟุ้งกระจาย และทิ้งลงในถุงพลาสติก
  • ผ้าอ้อมหรือเสื้อผ้าที่เปื้อนอุจจาระ แยกเสื้อผ้าคนป่วยซักต่างหากและต้องรีบซักให้สะอาดโดยเร็วหรือทิ้งให้เหมาะสม
  • เช็ดทำความสะอาดพื้นที่ปนเปื้อนด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อที่มีส่วนผสมของคลอรีน
  • ผู้ป่วยต้องงดการประกอบอาหาร เพราะสามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้หลังจากมีอาการเป็นระยะเวลา 3 วัน
  • เด็กควรงดไปโรงเรียนหรือสถานที่รับเลี้ยงเด็กเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
  • หลีกเลี่ยงการเดินทางจนกว่าจะหายเป็นปกติ

 

สนับสนุนข้อมูลโดย : นพ.สุรัตน์ ตั้งชัยสิน แพทย์เฉพาะทางกุมารเวชศาสตร์ภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันวิทยา
ศูนย์การแพทย์ : ศูนย์กุมารเวชกรรม โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 1745 ต่อ ศูนย์กุมารเวชกรรม

Go to top
Copyright © 2019 Bangpakok Hospital All rights reserved.