การฝากครรภ์ หมายความว่า คุณแม่ตั้งครรภ์จะมีสูติแพทย์ที่คอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวระหว่างการตั้งครรภ์ ทั้งเรื่องการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย สิ่งที่พึงระวังขณะตั้งครรภ์ รวมทั้งค้นหาความเสี่ยงการตั้งครรภ์ของคุณแม่ว่ามีความเสี่ยงอะไรบ้าง
นอกจากนี้สูติแพทย์จะทำการตรวจร่างกาย ซักประวัติ เพื่อค้นหาโรคที่อาจมีผลต่อคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ ที่สำคัญคือการฝากครรภ์จะช่วยให้การตั้งครรภ์ของคุณแม่เป็นไปอย่างราบรื่น และลูกน้อยในครรภ์มีสุขภาพแข็งแรง การฝากครรภ์จะช่วยตรวจหาความพิการ การคลอดก่อนกำหนด และช่วยให้ลูกน้อยคลอดออกมาสมบูรณ์แข็งแรง
การพบแพทย์ขณะตั้งครรภ์
โดยปกติแล้วเมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์อยู่ในช่วง 28 สัปดาห์ คุณหมอจะนัดตรวจครรภ์เดือนละ 1 ครั้งและ นัดทุก 2 สัปดาห์ ขณะตั้งครรภ์ได้ 28 – 36 สัปดาห์ และนัดทุกสัปดาห์เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์เดือนที่ 36 สัปดาห์ ซึ่งในการตรวจครรภ์นี้คุณหมอจะมีเครื่องมือในการตรวจที่มีประโยชน์ต่อการตั้งครรภ์ของคุณแม่ ได้แก่
- การตรวจอัลตร้าซาวด์ ใช้เพื่อดูโครงสร้างร่างกาย ความสมบูรณ์ของอวัยวะต่างๆ และเพื่อยืนยันอายุครรภ์
- การตรวจคัดกรองอื่นๆ
- ตรวจนับเม็ดเลือดโดยสมบูรณ์
- ตรวจหมู่เลือด
- ตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และการตรวจหาภูมิคุ้มกัน
- ตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบซี
- ตรวจหากามโรคชนิดซิฟิลิส
- ตรวจหาเชื้อเอชไอวี
- ตรวจหาภูมิคุ้มกันหัดเยอรมัน
- ตรวจปัสสาวะอย่างสมบูรณ์
- เจาะเลือดเพื่อการตรวจคัดกรองความผิดปกติด้านจำนวนโคโมโซมของทารกในครรภ์
- การตรวจเชื้อ GBS ในช่องคลอดของคุณแม่
- การเจาะเลือดเพื่อหาสารเคมี
- การตรวจคัดกรองโรคธาลัสซีเมีย
- การตรวจคัดกรองเบาหวาน
- การเจาะน้ำคร่ำ ส่วนใหญ่แพทย์จะเลือกเจาะน้ำคร่ำในรายที่ต้องการวินิจฉัยยืนยันความผิดปกติ โครโมโซมของทารกในครรภ์ ที่อาจส่งผลให้เกิดความผิดปกติของร่างกายและอวัยวะต่างๆ
เกณฑ์การประเมินความเสี่ยงของหญิงตั้งครรภ์
ข้อ |
เกณฑ์ที่ใช้ในการประเมิน |
ประวัติอดีต |
1. |
เคยมีทารกตายในครรภ์หรือเสียชีวิตแรกเกิด (1 เดือนแรก) |
2. |
เคยแท้ง 3 ครั้ง ติดต่อกันหรือมากกว่าติดต่อกัน |
3. |
เคยคลอดบุตรน้ำหนักตัวน้อยกว่า 2,500 กรัม |
4. |
เคยคลอดบุตรน้ำหนักมากกว่า 4,000 กรัม |
5. |
เคยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพราะความดันโลหิตสูงระหว่างตั้งครรภ์หรือครรภ์เป็นพิษ |
6. |
เคยผ่าตัดอวัยวะภายในระบบสืบพันธ์ เช่น เนื้องอกมดลูก, ผ่าตัดปากมดลูก, ผูกปากมดลูก ฯลฯ |
ประวัติปัจจุบัน |
7. |
ครรภ์แฝด |
8. |
อายุ < 17 ปี (นับถึง วันกำหนดคลอด) |
9. |
อายุ > 35 ปี (นับถึง วันกำหนดคลอด) |
10. |
Rh Negative |
11. |
เลือดออกทางช่องคลอด |
12. |
มีก้อนในอุ้งเชิงกราน |
13. |
ความดันโลหิต Diastolic ≥ 90mmHg |
14. |
โรคเบาหวาน |
15. |
โรคไต |
16. |
โรคหัวใจ |
17. |
ติดยาเสพติด ติดสุรา |
18. |
โรคอายุรกรรมอื่นๆ เช่น โลหิตจาง ธัยรอยด์ SLE ฯลฯ |
หากมีอาการผิดปกติดังนี้ ควรรีบมาพบแพทย์
- มีเลือดออกทางช่องคลอด
- มีน้ำเดิน
- ปวดท้อง
- มีไข้
- เด็กดิ้นน้อยลง
- ปวดศีรษะ ตามัว จุกแน่นหน้าอก บวม
การนับลูกดิ้น
- การนับลูกดิ้น ประเมินสุขภาพทารกในครรภ์เพื่อป้องกันทารกเสียชีวิต ซึ่งเกิดขึ้นได้เสมอ โดยเฉพาะแม่ที่มีโรคแทรกซ้อน เช่น เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ครรภ์เป็นพิษ และใกล้หรือเลยกำหนดคลอด
- เริ่มสังเกตและนับความถี่ของการดิ้นของทารกในครรภ์ตั้งแต่ตั้งครรภ์ 6 เดือน เป็นต้นไป จนกระทั่งคลอด
- ควรสังเกตลูกดิ้นทุกวัน และจดบันทึก อย่างน้อยวันละ 3 เวลาซึ่งควรเป็นช่วงที่คุณแม่พักผ่อน และเฝ้าสังเกตลูกดิ้น
- การสังเกตลูกดิ้นจะทำเมื่อแม่อยู่ว่างๆ ไม่ได้ทำงาน เช่น หลังกินข้าว ก่อนนอน หรือเมื่อตื่นนอน เป็นต้น
- ลูกดิ้นคือเมื่อแม่รู้สึกลูกขยับเคลื่อนไปมาในท้อง ถ้ารู้สึกเพียงท้องตึงหรือลูกดึงตัวขึ้นมาไม่นับว่าลูกดิ้น
- หากแม่สงสัย ไม่เข้าใจ หรือทำไม่ได้ ต้องถามแพทย์หรือพยาบาลทันที
- เวลา 2 ชั่วโมงที่เฝ้าสังเกต แม่ควรรู้สึกลูกดิ้นอย่างน้อย 10 ครั้ง หากไม่รู้สึกหรือรู้สึกไม่ถึง 10 ครั้ง ใน 2 ชั่วโมง ให้เว้นระยะ 2 – 3 ชม. แล้วเริ่มสังเกตใหม่ ถ้ายังน้อยกว่า 10 ครั้งใน 2 ชม. ต้องรีบพบแพทย์ เพื่อได้รับการตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจอัตราการเต้นของหัวใจลูกด้วยเครื่องมือต่อไป
- ถ้าลูกไม่ดิ้นใน 2 ชม. ต้องรีบพบแพทย์เช่นกัน
การเปลี่ยนแปลงของมารดา และทารกในครรภ์ในช่วงสัปดาห์
- การเปลี่ยนแปลงของมารดาและทารกแต่ละช่วงอายุครรภ์ การตั้งครรภ์ก่อน 10 สัปดาห์
การเปลี่ยนแปลงของทารก |
การเปลี่ยนแปลงของคุณแม่ |
ระยะตัวอ่อน ตั้งแต่อายุครรภ์ 5 สัปดาห์ - 10 สัปดาห์
ในระยะนี้จะมีการสร้างอวัยวะ สำคัญต่างๆ เช่น โครงสร้างกระดูกแขนขา,ระบบเส้นเลือดหัวใจ,ประสาทและสมอง
เกือบสมบูรณ์แล้ว เมื่อส้นสุดระยะนี้ ทารกมีขนาดเกือบ 4 ซม.
|
การตั้งครรภ์ก่อให้เกิดอาการในระยะแรก โดยมากเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ได้แก่
- ปัสสาวะบ่อย เนื่องจาก ปริมาณเลือดมากขึ้นมีผลทำให้ไตทำงานมากขึ้น และขยายตัวของมดลูกไปเบียดกระเพาะปัสสาวะ
- เต้านมคัดจากการปรับสภาพของต่อมน้ำนมจากผลของฮอร์โมน คลื่นไส้อาเจียนหรือแพ้ท้อง
|
การตรวจของแพทย์ |
- คุณแม่ส่วนใหญ่จะมาพบแพทย์ในระยะนี้ ในการฝากครรภ์ แพทย์จะตรวจร่างกาย ตรวจภายใน เฉพาะรายที่จำเป็น และตรวจเลือดเพื่อฝากครรภ์
- หากอายุครรภ์ 11 สัปดาห์ขึ้นไป แพทย์จะแนะนำเรื่องการตรวจเลือดเพื่อคัดกรอง ดาวน์ซินโดรม
- มีการคัดกรองเบาหวานในรายที่มีความเสี่ยงสูงแต่ส่วนใหญ่จะตรวจเป็นมาตรฐาน
Tips
- เนื่องจากเป็นระยะสำคัญในการสร้างระบบประสาทและสมอง คุณแม่ควรรับประทาน โฟลิคให้เพียงพอ
- การดื่มน้ำขิงและช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนจากการแพ้ท้องโดยไม่ต้องพึ่งยา
|
- การเปลี่ยนแปลงของมารดาและทารกแต่ละช่วงอายุครรภ์ การตั้งครรภ์ระยะ 12 สัปดาห์
การเปลี่ยนแปลงของทารก |
การเปลี่ยนแปลงของคุณแม่ |
เมื่อสิ้นสุด 12สัปดาห์ ตัวทารกจะยาวประมาณ 6-7 ซม. เริ่มมีการแยกนิ้วและนิ้วเท้า,มีการสร้างผิวหนังและเล็บ ในระยะนี้ทารกจะขยับตัวได้ดี
|
มดลูกจะเริ่มคลำได้เหนือหัวเหน่าเล็กน้อย ในระยะนี้มารดาจะยังอาการแพ้อยู่ บางรายอาการจะรุนแรงจนน้ำหนักลด,ขาดน้ำมากหรือเกลือแร่ผิดปกติ
|
การตรวจของแพทย์ |
- ในรายที่หน้าท้องบางอาจฟังเสียงหัวใจทารก โดยเครื่องฟังเสียงหัวใจทารกได้
Tips
- เพื่อหลีกเลี่ยงอาการคลื่นไส้อาเจียน ควรหลีกเลี่ยง อาหารมัน หรือมีกลิ่นแรง เช่น ผักชีต้นหอม หากมีอาการคลื่นไส้รับประทานอาหารไม่ได้ ให้ดื่มน้ำผลไม้ และรับประทานขนมปังกรอบ ครั้งละน้อยๆแต่บ่อยครั้งขึ้น
- แต่หากอาการรุนแรงมากจนขาดน้ำทำให้มีอาการอ่อนเพลีย หน้ามืด ใจสั่น ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุเช่น ไทรอยด์ เป็นพิษ,ครรภ์แฝด,ครรภ์ไข่ปลาอุก
|
- การเปลี่ยนแปลงของมารดาและทารกแต่ละช่วงอายุครรภ์ การตั้งครรภ์ระยะ 16 สัปดาห์
การเปลี่ยนแปลงของทารก |
การเปลี่ยนแปลงของคุณแม่ |
เมื่อสิ้นสุดระยะนี้ทารกจะยาวประมาณ 12 เซ็นติเมตร น้ำหนักประมาณ 110 กรัม อาจจำแนกเพศของทารกได้ โดยการอัลตร้าซาวนด์ โดยแพทย์ที่ชำนาญ
|
- มดลูกขยายขนาดมากขึ้น ประมาณ2/3 ระหว่างกระดูกหัวเหน่าและสะดือ
- ระยะนี้เริ่มเข้าไตรมาสที่ 2 ปริมาณน้ำเลือดจะเพิ่มขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับเม็ดเลือดแดง อาจมีภาวะซีดจากการตั้งครรภ์
|
การตรวจของแพทย์ |
- แพทย์จะตรวจขนาดมดลูกเพื่อเทียบกับอายุครรภ์
- ฟังเสียงหัวใจของทารก ซึ่งจะได้ยินชัดเจนขึ้น ปกติจะอยู่ที่ 120-180ครั้ง/นาที
Tips
- อาหารควรเน้นที่มีธาตุเหล็กและแคลเซียม โดยปกติแพทย์มักจะให้ธาตุเหล็กเสริมในทุกราย ส่วนแคลเซียมอาจเสริมด้วยการดื่มนมวันละ 2 กล่อง หรือโยเกิร์ต วันละ 2 ถ้วย ในรายที่ดื่มนมไม่ได้แพทย์อาจให้แคลเซียมเม็ดเพื่อทดแทนความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากการตั้งครรภ์
|
- การเปลี่ยนแปลงของมารดาและทารกแต่ละช่วงอายุครรภ์ การตั้งครรภ์ระยะ 20 สัปดาห์
การเปลี่ยนแปลงของทารก |
การเปลี่ยนแปลงของคุณแม่ |
เมื่อสิ้นสุดสัปดาห์ที่ 20 ถือได้ว่าถึงครึ่งทางของการตั้งครรภ์แล้วน้ำหนักทารกจะมากกว่า 300 กรัม ผิวหนังที่โปร่งจะทึบขึ้นเริ่มมีขนอ่อนและผมขึ้น ขณะอายุครรภ์ 18 สัปดาห์ มีใบหูยื่นจากศีรษะแล้ว
|
- มดลูกมารดาจะถึงระดับเดียวกับสะดือ หรือวัดได้ 20 เซ็นติเมตร.จากหัวเหน่า ส่วนใหญ่จะเริ่มรู้สึกลูกดิ้นแล้ว
|
การตรวจของแพทย์ |
- ระยะอายุครรภ์ 16 - 20 สัปดาห์ เป็นช่วงที่เหมาะสมในการทำอัลตร้าซาวด์ ดูทารกเนื่องจากเห็นอวัยวะต่างๆชัดเจนแล้ว และหากพบความผิดปกติ ยังสามารถตรวจหาสาเหตุให้พบได้ในอายุครรภ์ที่ไม่มากเกินไป
- ในรายที่มีข้อบ่งชี้ในการเจาะน้ำคร่ำ แพทย์มักจะทำในอายุครรภ์ 16-18 สัปดาห์
Tips
- ลูกจะเริ่มได้ยินเสียงคุณแม่แล้ว คุยกับเขาบ่อยๆและเปิดเพลงเบาๆให้เขาฟัง
|
- การเปลี่ยนแปลงของมารดาและทารกแต่ละช่วงอายุครรภ์ การตั้งครรภ์ระยะ 24 สัปดาห์
การเปลี่ยนแปลงของทารก |
การเปลี่ยนแปลงของคุณแม่ |
เมื่อสิ้นสุดสัปดาห์ที่ 24 ทารกจะหนักประมาณ 630 กรัมมีกล้ามเนื้อสมบูรณ์ ดิ้นแรงมาก เมื่อมีอาการสะสมไขมันใต้ผิวหนัง,ระบบท่อและถุงลมในปอดพัฒนาจนเกือบสมบูรณ์,ลูกจะจำเสียงพ่อ-แม่ได้
|
-
ยอดมดลูกจะอยู่เหนือสะดือ ประมาณ 1ใน 4 ระหว่างสะดือและลิ้นปี่หรือประมาณ 24 ซม.
|
การตรวจของแพทย์ |
- ตรวจขนาดของมดลูก และฟังเสียงหัวใจทารก
Tips
- ในระยะนี้คุณแม่จะรู้สึกลูกดิ้นชัดแล้ว ควรนับลูกดิ้นทุกวัน อย่างน้อยวันละ 3 เวลา
|
- การเปลี่ยนแปลงของมารดาและทารกแต่ละช่วงอายุครรภ์ การตั้งครรภ์ระยะ 28 สัปดาห์
การเปลี่ยนแปลงของทารก |
การเปลี่ยนแปลงของคุณแม่ |
เมื่อสิ้นสุดสัปดาห์ที่ 28 ทารกจะตัวยาว 25 เซ็นติเมตรน้ำหนักประมาณ 1100 กรัม ระบบประสาทจะพัฒนาอย่างรวดเร็ว หากทารกคลอดก่อนกำหนดในอายุครรภ์นี้ จะขยับแขนขาและร้องเบาๆได้ 90% จะรอดชีวิตโดยไม่มีความพิการ
|
- ขนาดของมดลูกอยู่กึ่งกลางระหว่างสะดือกับลิ้นปี่หรือประมาณ 28 สัปดาห์
- ฮอร์โมน HPL ที่กระตุ้นให้เกิดเบาหวานขณะตั้งครรภ์จะสูงขึ้นตั้งแต่ อายุครรภ์ 26 สัปดาห์
|
การตรวจของแพทย์ |
- แพทย์มักตรวจเบาหวานในขณะตั้งครรภ์ในระยะนี้เพราะผลจะชัดเจน เนื่องจากเป็นระยะที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน HPL
Tips
- คุณแม่ควรนับลูกดิ้นเนื่องจากเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการประเมินสุขภาพของทารกในครรภ์ หากทำถูกวิธีพบว่าได้ผลดีไม่แพ้เครื่องตรวจคลื่นหัวใจทารกเลยทีเดียว
|
- การเปลี่ยนแปลงของมารดาและทารกแต่ละช่วงอายุครรภ์ การตั้งครรภ์ระยะ 32 สัปดาห์
การเปลี่ยนแปลงของทารก |
การเปลี่ยนแปลงของคุณแม่ |
ในระยะนี้วัดความยาวจากศีรษะถึงก้นกบได้ 28 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 1800 กรัม ผิวหนังยังแดงและย่น ทารกที่คลอดอายุครรภ์นี้ มักจะมีชีวิตรอด
|
- ส่วนยอดของมดลูกจะอยู่ใกล้ๆลิ้นปี่ หรือวัดจากยอดมดลูกถึงหัวเหน่าได้ประมาณ 32 เซนติเมตร
- ความเข้มข้นของเลือดอาจลดลง เนื่องจากปริมาณน้ำเลือดที่เพิ่มขึ้น หรือเรียกว่าภาวะซีดจากการตั้งครรภ์
|
การตรวจของแพทย์ |
- นอกจากจะติดตามการเจริญเติบโตของทารกแล้ว อาจมีการตรวจความเข้มข้นของเลือดซ้ำ เพื่อประเมินภาวะซีดจากการตั้งครรภ์
Tips
- คุณแม่ควรนับลูกดิ้นทุกวัน อย่างน้อยวันละ 3 เวลา
- รับประทานธาตุเหล็กที่แพทย์จัดให้อย่างสม่ำเสมอ
|
- การเปลี่ยนแปลงของมารดาและทารกแต่ละช่วงอายุครรภ์ การตั้งครรภ์ระยะ 36 สัปดาห์
การเปลี่ยนแปลงของทารก |
การเปลี่ยนแปลงของคุณแม่ |
เมื่อสิ้นสุด 36 สัปดาห์ วัดความยาวจากศีรษะถึงก้นกบได้ 32 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 2500 กรัม
- ลำตัวกลมขึ้นและรอยย่นที่ใบหน้าจะหายไป เนื่องจากมีการสะสมของไขมันใต้ผิวหนังมากขึ้น
- ทารกจะรับรู้ความมืดและความสว่างได้ลืมตามองสิ่งต่างๆในน้ำคร่ำได้
- ทารกที่คลอดระยะนี้จะรอดชีวิต ภายใต้การดูแลที่เหมาะสม
|
- ส่วนยอดของมดลูกจะอยู่ที่ลิ้นปี่ อาจทำให้คุณแม่รู้สึกอึดอัด ขนาดมดลูกที่โตอาจไปกดเส้นเลือดดำ ทำให้ขาบวมได้
|
การตรวจของแพทย์ |
- ในรายที่มีความเสี่ยง แพทย์อาจตรวจภายในเพื่อเพาะเชื้อ GBS เพื่อหายาป้องกันการติดเชื้อในระยะคลอด
- ตรวจความเข้มแข็งของทารกในครรภ์ โดยการตรวจคลื่นหัวใจของทารก
- ตรวจความดันโลหิตและดูโปรตีนในปัสสาวะ ซึ่งมีการตรวจทุกครั้งที่มาตรวจครรภ์ตามนัดอยู่แล้ว
Tips นอกจากคุณแม่จะนับลูกดิ้นเพื่อประเมินสุขภาพทารกแล้ว คุณแม่ต้องเฝ้าระวังสุขภาพของตนเองด้วย เช่น
- ขาบวม ตัวบวมมาก น้ำหนักขึ้นเร็ว
- ปวดศีรษะ
- ปวดบริเวณชายโครงขวา
หากมีอาการดังกล่าว ควรรีบพบแพทย์ เพื่อเฝ้าระวังภาวะครรภ์เป็นพิษ
|
- การเปลี่ยนแปลงของมารดาและทารกแต่ละช่วงอายุครรภ์ การตั้งครรภ์ระยะ 40 สัปดาห์
การเปลี่ยนแปลงของทารก |
การเปลี่ยนแปลงของคุณแม่ |
ทารกมีพัฒนาการที่สมบูรณ์ รวมทั้งปอดและผิวหนัง พร้อมที่จะคลอดแล้ว
|
- ยอดมดลูกจะมีขนาดต่ำลงจากการที่ทารกเริ่มเคลื่อนต่ำ มารดาจะรู้สึกปวดบริเวณหัวเหน่า เดินลำบากจากการที่ศีรษะทารกกดบริเวณ กระดูกเชิงกราน
- จะเริ่มมีการบีบตัวของมดลูกถี่มากขึ้น หากนอนพักแล้วไม่ดีขึ้น แสดงว่าเริ่มเข้าสู่ระยะคลอด โดยเฉลี่ยอยู่ที่อายุครรภ์ 38 สัปดาห์
|
การตรวจของแพทย์ |
- ตรวจสุขภาพของทารก
- หากมีการบีบตัวของมดลูกบ่อยครั้ง มีการตรวจภายใน เพื่อประเมินระยะคลอด
- พิจารณาวิธีการคลอดและระยะเวลาในการคลอดตามข้อบ่งชี้ โดยปกติ หากไม่มีการเจ็บครรภ์ ไม่ควรรอเกิน 41 สัปดาห์ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่ทารกจะขาดออกซิเจนในครรภ์ได้
Tips สังเกตอาการเข้าสู่ระยะคลอด ได้แก่ การบีบตัวของมดลูก น้ำเดิน มีมูกเลือด
|
พัฒนาการของเจ้าตัวน้อยเริ่มได้ตั้งแต่ในครรภ์ จากเสียงเพลงดนตรี
การส่งเสริมพัฒนาการทารกในครรภ์ด้วยวิธีง่ายๆ แต่ได้ผล โดยการใช้เสียงเพลง เช่น เพลงสำหรับแม่ท้อง เพลงสำหรับทารกในครรภ์ แม้ว่าจริงๆ แล้วการให้ทารกในครรภ์ฟังเพลงอาจจะไม่ใช่วิธีทำให้ลูกฉลาดตั้งแต่ในครรภ์ แต่เป็นการสร้างพื้นฐานพัฒนาการทารกในครรภ์ โดยเฉพาะพัฒนาการด้านอารมณ์ ทำให้เขาคลอดออกมาร่าเริง เลี้ยงง่าย ซึ่งส่งผลไปถึงมีความพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ รอบตัวเพื่อพัฒนาไปสู่ความฉลาดในอนาคตได้นั่นเอง
เพลงสำหรับกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อลูกได้ยินเสียงเพลง ได้ยินจังหวะของเพลงเขาจะขยับตัวหรือดิ้นไปตามเสียงเพลง เช่น ถ้าเป็นเพลงช้าฟังสบาย เขาจะขยับตัวช้าๆ เหมือนกำลังว่ายน้ำอยู่ในท้องแม่อย่างสบายใจ หากเพลงมีจังหวะเร็วเขาอาจจะขยับตัวบ่อยหรือดิ้นแรงขึ้นเหมือนเต้นตาม ซึ่งการขยับตัวของทารกในครรภ์ตามเสียงเพลงหรือเสียงที่ได้ยินก็เป็นสัญญาณบอกถึงพัฒนาการทารกในครรภ์ที่ยอดเยี่ยมนั่นเอง คุณแม่ตั้งครรภ์ควรฟังเพลงเพื่อพัฒนาการทารกในครรภ์ที่ยอดเยี่ยมด้วยวิธีต่อไปนี้
- เพลงสำหรับทารกในครรภ์ควรเป็นเพลงฟังสบาย จะเป็นเพลงช้าหรือเร็วก็ได้ หรือแม้แต่เพลงร็อคก็ฟังได้ และเน้นให้ลูกได้ยินเสียงและรู้สึกถึงจังหวะเพื่อไปกระตุ้นพัฒนาการทางการได้ยิน การเคลื่อนไหวในท้อง และความรู้สึกผ่อนคลายในท้องแม่เป็นหลัก
- ควรใช้หูฟังแบบครอบศีรษะ หรือหูฟังเพลงสำหรับทารกในครรภ์ เพราะเสียงและจังหวะของเพลงจะดังไป ถึงลูกในท้องได้ดี หูฟังชนิดใส่ในรูหูจะมีความดังไม่มากพอให้ลูกในท้องได้ยินเสียงเพลง
- ไม่ควรเปิดเสียงเพลงดังเกินไป เพราะลูกในท้องอาจตกใจและดิ้นแรงกว่าปกติได้ ระดับเสียงที่พอดีอาจวัดจากคุณแม่ลองใส่หูฟังฟังเองก่อน แล้วปรับความดังในระดับที่หากคุณพ่อมาคุยด้วยก็ยังพอได้ยินเสียงแบบพอจับใจความได้ หรือเรียกแล้วยังได้ยินนั่นเอง
- ทารกในครรภ์จะได้ยินเสียงเพลงได้ดีเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 5 เดือน เนื่องจากมีการพัฒนาระบบประสาทการได้ยินแล้ว แต่แม่ท้องสามารถให้ลูกในท้องฟังเพลงได้ตั้งแต่รู้ว่าท้อง เพราะตัวแม่เองก็จะรู้สึกผ่อนคลาย ไม่เครียด ส่งผลไปถึงความสบายของลูกในท้องด้วย
- ทารกในครรภ์จะตื่นตัวดีในช่วงบ่ายเป็นต้นไป คุณแม่ควรให้ทารกในครรภ์ฟังเพลงช่วงบ่าย และใช้เวลาฟังเพลงประมาณ 1 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้ลูกในท้องได้พักผ่อนด้วย
- คุณแม่ที่เข้าใจว่าฟังเพลงคลาสสิกแล้วจะทำให้ลูกฉลาด ลองเปลี่ยนความคิดกันใหม่ เพลงคลาสสิกไม่ได้ช่วยให้ลูกฉลาดตั้งแต่ในท้อง เพราะความฉลาดมีปัจจัยหลักมาจากพันธุกรรมของพ่อแม่ สภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ การส่งเสริม และอาหาร แต่การให้ทารกในครรภ์ฟังเพลงจะเป็นการทำให้ลูกผ่อนคลาย กระตุ้นพัฒนาการทางการได้ยินและพัฒนาการทางร่างกายตั้งแต่ในท้องด้วยการขยับตัวและดิ้นไปตามจังหวะเพลงที่ได้ยิน ซึ่งเมื่อคลอดออกมา เขาจะมีความพร้อมทั้งทางร่างกายและอารมณ์ที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวด้วยความคล่องแคล่ว คล่องตัว และอารมณ์ดี
นอกจากเสียงแล้ว การสัมผัสและสิ่งเร้าจากภายนอก ก็สามารกระตุ้นพัฒนาการได้เช่นกัน ในช่วงไตรมาสสุดท้าย คุณแม่อาจใช้ไฟฉายเล็กๆซึ่งมีแสงไม่แรงนักส่องไปที่จุดต่างๆ ของหน้าท้อง ประมาณครั้งละ 5 วินาที เพื่อกระตุ้นระบบการมองเห็นและรับภาพของลูกน้อย โดยคุณแม่จะรู้สึกว่า ลูกน้อยหันหน้าหลบไปหลบมา แต่ไม่ควรเล่นนานจนเกินไป เพราะอาจทำให้ลูกน้อยหงุดหงิดได้
การกระตุ้นพัฒนาการตั้งแต่อยู่ในครรภ์นอกจากจะส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์แล้ว คุณแม่เองก็มีความสุขไปด้วย ทุกการสัมผัสที่เริ่มต้น ลูกน้อยสามารถเรียนรู้และจดจำได้ เมื่อถึงวันที่ลูกได้ลืมตาดูโลกใบนี้ คุณแม่เป็นคนแรกที่เขาจะจำได้
หลังคลอด คุณแม่ควรรู้
หลังจากคลอดลูกแล้ว คุณแม่จะวุ่นวายกับการเลี้ยงดูเจ้าตัวน้อย จนบางครั้งอาจละเลยการดูแลสุขภาพตัวเองหลังคลอดไปบ้าง การดูแลหลังคลอดก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าการดูแลตนเองระหว่างตั้งครรภ์ เพราะคุณแม่ที่แข็งแรง สุขภาพดี จะสามารถดูแลลูกน้อยที่เกิดมาได้เป็นอย่างดี
ตรวจหลังคลอด แพทย์จะนัดตรวจหลังออกจากโรงพยาบาล 1 สัปดาห์ เพื่อติดตามอาการทั่วไป ดูแผลผ่าตัด หรือแผลฝีเย็บว่ามีอาการอักเสบ บวมแดงหรือไม่ หลังจากนั้นจะนัดตรวจหลังคลอด ประมาณ 4 – 6 สัปดาห์หลังคลอด ตรวจอาการผิดปกติต่างๆ ตรวจภายในเพื่อตรวจมดลูก และตรวจมะเร็งปากมดลูก ให้คำปรึกษาเรื่องการวางแผนครอบครัว
โภชนาการ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคุณแม่ที่ให้นมลูกเอง หลังคลอด ร่างกายของคุณแม่ต้องการพลังงานมากกว่าตอนขณะตั้งครรภ์ 500 กิโลแคลอรีต่อวัน พลังงานที่เพิ่มขึ้นนี้จะถูกนำไปใช้สร้างน้ำนมและชดเชยพลังงานที่เสียจากการคลอด เพราะฉะนั้นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ จะช่วยให้แม่หลังคลอดฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ช่วยซ่อมแซมให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิต้านทานโรค ลดอาการอ่อนเพลียจากการสูญเสียเลือดและน้ำขณะคลอดได้ ดื่มน้ำสะอาดให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยผลิตน้ำนม ป้องกันการขาดน้ำ และอาการท้องผูก ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ เน้นอาหารที่มีโปรตีนสูง ได้แก่ นม วันละ 2 - 3 แก้ว เนื้อสัตว์ต่างๆ รวมทั้งผัก ผลไม้ ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทไขมัน แป้ง ของหวาน เพราะจะทำให้คุณแม่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ควรงดอาหารรสจัด ของหมักดอง น้ำชา กาแฟ เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ ยาขับน้ำคาวปลา หรือยาดองเหล้า
พักผ่อนให้เพียงพอ ช่วงเวลาที่ลูกน้อยหลับ คุณแม่ก็ควรนอนพักผ่อนด้วยเช่นกัน ภายหลังคลอด 6 สัปดาห์ ไม่ควรทำงานหนัก เช่น การยก แบกหาม ซึ่งจะมีผลกระทบต่ออวัยวะในอุ้งเชิงกรานและแผลฝีเย็บ
รับมือกับความรู้สึกซึมเศร้าหลังคลอด หลังคลอด 2 - 3 เดือนแรก คุณแม่บางท่านอาจรู้สึกซึมเศร้า หมดหวัง ร้องไห้บ่อย รู้สึกผิดและไม่มีค่า ตื่นกลัว เป็นต้น อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้ เนื่องจากระดับของฮอร์โมนที่มีการเปลี่ยนแปลงทันทีทันใดหลังคลอด แต่ความรุนแรงในแต่ละคนอาจแตกต่างกัน หากคุณแม่มีอาการเหล่านี้ การนอนหลับอย่างเพียงพอ รับประทานอาหารที่เหมาะสม พูดคุยกับครอบครัวและเพื่อนๆ จะช่วยให้คุณแม่รู้สึกดีขึ้นได้ หากไม่ดีขึ้น ให้ปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ
สนับสนุนข้อมูลโดย : นพ.นพดล จันทรเทพเทวัญ แพทย์เฉพาะทางด้านสูตินรีเวช
ศูนย์สตรี ชั้น 8 โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 1745 ต่อ ศูนย์สตรี