ศูนย์รังสีวินิจฉัย
การบริการตรวจทางรังสีวิทยา
รังสีวินิจฉัย หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อแผนกเอกซเรย์ ให้บริการตรวจวินิจฉัยโรคโดยอาศัยเครื่องมือทางรังสีที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงหลายชนิด ซึ่งในการสร้างภาพทางรังสีวินิจฉัยในแต่ละการตรวจจะใช้เครื่องมือที่มีความจำเพาะ ขึ้นกับลักษณะอาการ วัตถุประสงค์ของการตรวจ และลักษณะทางกายวิภาคของอวัยวะที่ต้องการตรวจ โดยมีวัตถุประสงค์ให้ผู้รับบริการได้รับการตรวจวินิจฉัยโรคได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ ปลอดภัย มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล โดยมีบริการตรวจวินิจฉัยโรคด้วยเครื่องมือทางรังสีที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง ดังนี้
- การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า MRI (Magnetic Resonance Imaging) 1.5 Tesla
- การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ CT Scan (Computed Tomography) 128 Slice
- การตรวจอัลตราซาวด์ (Ultrasound)
- การตรวจวัดความหนาแน่นมวลกระดูก BMD (Bone Mineral Density)
- การตรวจเต้านมระบบดิจิตอล (Digital Mammogram)
- การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ฟันระบบดิจิตอล (Dental CT Scan)
- การตรวจเอกซเรย์ฟันชนิดทั้งปากระบบดิจิตอล (Dental Panoramic)
- การตรวจเอกซเรย์ทั่วไประบบดิจิตอล (Digital General x-ray)
1. การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ MRI (Magnetic Resonance Imaging) 1.5 Tesla
ข้อมูลเบื้องต้น
การเตรียมตัวตรวจ
- กรุณาหลีกเลี่ยงการแต่งหน้า เนื่องจากเครื่องสำอางบางชนิด มีส่วนผสมของโลหะ เช่น มาสคาร่า อายชาโดว์ อาจทำให้เกิดภาพบิดเบี้ยวไป (distortion) เกิดเป็นสิ่งแปลกปลอมในภาพ และหลีกเลี่ยงการตรวจในผู้ที่ร้อยไหมทองคำ
- ก่อนเข้ารับการตรวจ เจ้าหน้าที่จะทำการทวนตรวจสอบประวัติผู้ป่วยเพื่อลดความเสี่ยงในการรับการตรวจด้วยเครื่องสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Assessment & History of Magnetic Resonance Imaging: MRI) จากนั้นเจ้าหน้าที่จะทำการอธิบายขั้นตอนการตรวจและรายละเอียดการปฏิบัติตัวให้ท่านทราบในวันตรวจ ทั้งนี้การปฏิบัติตัวขณะเข้าตรวจ MRI จะมีรายละเอียดการปฏิบัติตัวที่แตกต่างกัน
- ท่านจะได้รับการเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดโรงพยาบาล โดยถอดเครื่องประดับทุกชนิด (เช่น ต่างหู สร้อยคอ กิ๊บ กำไล) นำโทรศัพท์มือถือ นาฬิกา บัตรเอทีเอ็ม บัตรเครดิต หรือบัตรอื่นๆที่ใช้แถบแม่เหล็กบันทึกอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ เครื่องช่วยหูฟัง ฟันปลอม ออกก่อนเข้าตรวจทุกครั้ง
- ท่านควรปัสสาวะก่อนเข้าห้องตรวจ เนื่องจากเป็น การตรวจที่ละเอียดและใช้เวลานาน ประมาณ 30-180 นาที ตามประเภทการตรวจ
- ในการตรวจแต่ท่านควรนอนให้นิ่งที่สุด เพื่อให้ได้ภาพการตรวจที่ชัดเจน และเป็นประโยชน์ในการวินิจฉัยภาพที่แม่นยำ
- ในขณะที่เครื่อง MRI กำลังทำงาน จะมีเสียงดังรบกวนท่านเล็กน้อย ทั้งนี้เจ้าหน้าที่จะจัดเตรียมอุปกร์ช่วยลดเสียงสวมใส่ให้ท่านเพื่อลดเสียงรบกวน
- การตรวจ MRI ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดและปลอดภัย ท่านจึงสามารถเข้ารับการตรวจด้วยความรู้สึกผ่อนคลายหากท่านมีความกังวลหรือกลัวที่จะอยู่คนเดียวในห้อง หรือ กลัวที่แคบ โปรดแจ้งเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้ในระหว่างการตรวจจะมีเจ้าหน้าที่ดูแลท่านอยู่ตลอดเวลา หากท่านมีปัญหาหรือเกิดความกังวลในระหว่างการตรวจท่านสามารถบีบลูกบอลฉุกเฉิน (Emergency Ball) เพื่อสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ได้ทันที
ระยะเวลาทำหัตถการ : 30 – 180 นาที
คำแนะนำอื่นๆ
- กรุณาแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนตรวจ ถ้าท่านมีความกังวลในการเข้าตรวจ MRI หรือกลัวที่แคบ ซึ่งทางห้องตรวจจะให้ญาติเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนด้วยได้ขณะทำการตรวจ
ข้อจำกัดในการตรวจ
- ผู้ป่วยที่มีเครื่องช่วยกระตุ้นหัวใจ (pacemaker) ต้องได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญพิเศษ
- ผู้ป่วยที่ใส่ลิ้นหัวใจเทียม (Artificial Cardiac valve)
- ผู้ป่วยที่ใส่ Stent ที่หลอดเลือดหัวใจต้องได้รับการยืนยันจากแพทย์ที่ใส่ Stent ว่าเป็น Stent ชนิดใดจะทำ MRI ได้หรือไม่ (ปัจจุบัน Stent ที่หลอดเลือดหัวใจ ถ้าเป็นรุ่น MRI compatible สามารถทำได้ทันทีไม่มีผลเสียใดๆ)
- ผู้ป่วยที่เคยได้รับการผ่าตัด clips หรือโลหะต่างๆ
- ผู้ป่วยที่มีสิ่งแปลกปลอมหรือโลหะอยู่ในร่างกายเช่นเคยถูกยิงมีกระสุนค้างอยู่ตามร่างกาย
- ผู้ป่วยที่กลัวที่แคบ (Claustrophobia)
- ผู้ป่วยที่ใส่เหล็กดัดฟัน ถ้าต้องทำ MRI ตรวจในช่วงบริเวณ สมองถึงกระดูกคอควรต้องถอดเอาเหล็กดัดฟัน ออกก่อน เพราะจะมีผลต่อความชัดของภาพ
- ผู้ป่วยที่ร้อยไหมชนิดที่มีโลหะเป็นส่วนประกอบ เช่น ไหมทองคำ
- ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกรณีที่มีการฉีดยาร่วมด้วย (Gadolinium based) อาจมีโอกาสเกิดการรั่วของสารออกนอกหลอดเลือดและมีโอกาสแพ้สาร Gadolinium based ซึ่งอาจเกิดภาวะไม่รุนแรง เช่นผื่นคัน บวมแดง จนถึงภาวะรุนแรง เช่น ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลง หอบเหนื่อย ภาวะหายใจขัดข้องหรือถึงแก่ชีวิต โดยเฉพาะในคนที่มีประวัติแพ้ยา หรือเคยแพ้สาร Gadolinium based ก่อน หรืออาจมีอาการปวดบวมบริเวณตำแหน่ง หรือบวมช้ำบริเวณที่ทำการฉีด หรืออาจเกิดการแตกหรือรั่วของเส้นเลือดขณะทำการฉีด (Leakage or Extravasation)
- ในผู้ป่วยที่ใส่ VP shunt (สายระบายน้ำจากโพรงสมองสู่ช่องท้อง) บางรายอาจต้องได้รับการตั้งค่าเครื่องใหม่โดยแพทย์ศัลยกรรมระบบประสาท
ข้อมูลเบื้องต้น
CT Scan เป็นเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพใช้เทคโนโลยีชั้นสูง โดยอุปกรณ์ต่างๆ ภายในเครื่องจะหมุนรอบตัวผู้ป่วยขณะทำการตรวจ การตรวจดังกล่าวเป็นการตรวจพิเศษทางรังสีที่มีความละเอียดสูง ได้ภาพในแนวตัดขวางสามารถเห็นรายละเอียดภายในร่างกายได้อย่างชัดเจน สามารถนำภาพที่ได้ในแนวตัดขวางมาสร้างภาพในแนวต่างๆ ได้ตามต้องการ ปัจจุบันการตรวจด้วยเครื่องมือดังกล่าวจะใช้สำหรับการตรวจหาความผิดปกติภายในร่างกาย การกระจายตัวของเซลล์มะเร็งไปยังอวัยวะอื่นๆ การตรวจติดตามผลการรักษา ซึ่งการตรวจในผู้ป่วยมะเร็งจะต้องมีการฉีดสารทึบรังสีร่วมด้วย นอกจากประสิทธิภาพการถ่ายภาพได้อย่างละเอียดแล้ว ยังสามารถใช้เทคโนโลยีในการสร้างภาพสามมิติ และสร้างภาพเสมือนจริงในการตรวจอวัยวะภายใน
การเตรียมตัวตรวจ
- ในกรณีฉีดสารทึบรังสีท่านต้องงดน้ำและอาหารก่อนตรวจ 4-6 ชั่วโมง
- ตรวจสอบประวัติการแพ้ยา แพ้สารทึบรังสี แพ้อาหาร ภูมิแพ้ และโรคประจำตัว
- เจาะเลือดเพื่อประเมินค่าการทำงานของไต ในผู้ป่วยที่ต้องใช้ IV contrast medium ทุกราย
- ตรวจสอบความเสี่ยงของการตั้งครรภ์ ในคนไข้หญิงวัยเจริญพันธุ์ ทุกราย
- ตรวจสอบประวัติโรคเบาหวาน
- สำหรับการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์บริเวณช่องท้องส่วนใหญ่อาจต้องมีการทาน Oral contrast solution หรือสวน Rectal contrast solution เพื่อแยกลำไส้ออกจากส่วนต่างๆ ทั้งนี้ขึ้นกับบริเวณที่ต้องการตรวจ และดุลยพินิจของแพทย์
ข้อบ่งชี้
-
ผู้ที่มีประวัติโรคภูมิแพ้ หอบหืด มีประวัติผื่นขึ้นภายหลังรับประทานอาหารทะเล หรือมีอาการแน่น หายใจไม่ออก และผู้ที่มีประวัติแพ้สารทึบรังสี ต้องแจ้งให้ทีมแพทย์ทราบก่อนทุกครั้ง
-
ผู้ป่วยที่เป็นโรคไต หรือการทำงานของไตไม่ดี ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการตรวจ
ข้อจำกัดในการตรวจ ควรแจ้งแพทย์ให้ทราบก่อนการตรวจกรณี
- สงสัยว่าตั้งครรภ์ หรืออยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์ หากไม่ใช่ในกรณีฉุกเฉินเร่งด่วน แพทย์จะให้ผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ใช้วิธีการอื่นในการตรวจวินิจฉัย เพื่อเลี่ยงไม่ให้รังสีเอกซเรย์ส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้
- ในผู้ป่วยที่เป็นเด็ก ผู้ปกครองควรปรึกษาและรับคำแนะนำจากแพทย์ถึงการเตรียมตัวก่อนให้เด็กเข้าเครื่อง CT Scan หากเด็กยังเล็กมาก หรือรู้สึกตื่นกลัวมาก แพทย์จะให้ยาระงับประสาทเพื่อบรรเทาอาการก่อนทำ CT Scan
- สแกนเมื่อจำเป็น ผู้ป่วยควรทำ CT Scan เมื่อมีเหตุจำเป็นอันสมควรเมื่อผู้ป่วยมีอาการป่วยที่ปรากฏเท่านั้น โดยจะไม่ใช้ CT Scan เพื่อการคัดกรองเบื้องต้น เพราะเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจากการได้รับรังสีเอกซเรย์ และเพิ่มความวิตกกังวลเกินจำเป็น
- ผู้ที่เพิ่งเข้ารับการตรวจที่ต้องรับประทานสารทึบรังสี หรือสารกัมมันตรังสี
ภาวะแทรกซ้อนและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการได้รับสารทึบรังสีในการตรวจหลอดด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ได้แก่
- การแพ้สารทึบรังสีที่ใช้ในการตรวจ พบได้น้อยและมักจะไม่รุนแรง เช่น ผื่นคัน
- การทำงานของไตลดลงในผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตผิดปกติอยู่ก่อนแล้ว
ข้อมูลเบื้องต้น
การตรวจอัลตร้าซาวด์ เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงในการตรวจโดยอาศัยหลักการดูดซับ และสะท้อนของคลื่นเสียงที่แตกต่างกันระหว่างอวัยวะแต่ละชนิด และระหว่างเนื้อเยื่อชนิดต่างๆ และสะท้อนกลับมายังหัวตรวจ และข้อมูลที่ได้ไปสร้างภาพดิจิทัล การตรวจด้วยเครื่องมือดังกล่าวสามารถเห็นภาพได้ แบบ Real Time และมีความปลอดภัยสูงเนื่องจากเป็นเครื่องมือที่ไม่มีการใช้รังสี ปัจจุบันเครื่องมือดังกล่าวจะใช้สำหรับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง การตรวจสุขภาพ และการตรวจติดตามโรคหลังการรักษา เช่น การตรวจคัดกรองมะเร็ง การตรวจต่อมไทรอยด์ การตรวจช่องท้องส่วนบน การตรวจช่องท้องส่วนล่าง การตรวจช่องท้องทั้งหมด การตรวจเต้านม และการตรวจระบบหลอดเลือดต่างๆ เป็นต้น
การเตรียมตัวตรวจ
- การเตรียมตัวส่วนลำคอและอวัยวะส่วนอื่นๆ (Ultrasound Neck / Thyroid and Other)
- ผู้ป่วยไม่ต้องงดน้ำและอาหาร สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ หากมีโรคประจำตัวให้ทานยาได้ตามปกติ
- ระหว่างการตรวจอาจผู้ป่วยจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของรังสีแพทย์ เพื่อให้ได้ภาพที่มีคมชัด เหมาะสำหรับการวินิจฉัยโรค
- การเตรียมตัวตรวจช่องท้องส่วนบน (Ultrasound Upper Abdomen)
- ผู้ป่วยควรงดน้ำและอาหารอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ก่อนทำการตรวจ ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานให้งดยาเบาหวานในมื้อนั้นๆ ด้วย ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวอื่น เช่น โรคหัวใจ หรือ ความดันโลหิตสูง ให้ทานยาได้ตามปกติแต่ทานน้ำตามในปริมาณน้อย
- ระหว่างการตรวจผู้ป่วยจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของรังสีแพทย์ โดยจะให้ผู้ป่วยหายใจเข้า/ออก หรือ กลั้นหายใจเป็นครั้งๆ เพื่อให้ได้ภาพการตรวจที่มีคุณภาพและแปลผลได้แม่นยำ หากผู้ป่วยมีปัญหาเรื่องการฟังหรือกลั้นหายใจอาจจะจำเป็นต้องมีญาติช่วยเหลือขณะทำการตรวจ หรือเปลี่ยนชนิดการตรวจ ระหว่างการตรวจอาจต้องมีการพลิกตะแคงตัว หรือลุกนั่ง
- การเตรียมตัวตรวจช่องท้องทั้งหมด (Ultrasound Whole Abdomen)
- ผู้ป่วยควรงดน้ำและอาหารอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ก่อนทำการตรวจ ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานให้งดยาเบาหวานในมื้อนั้น ๆ ด้วย ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวอื่น เช่น โรคหัวใจ หรือ ความดันโลหิตสูง ให้ทานยาได้ตามปกติแต่ทานน้ำตามในปริมาณน้อย
- การตรวจจำเป็นต้องให้มีปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะด้วย ดังนั้นผู้ป่วยจะต้องกลั้นปัสสาวะขณะรอเข้าตรวจ เจ้าหน้าที่ประจำห้องตรวจอาจให้ผู้ป่วยดื่มน้ำเพิ่มในบางกรณี
- ระหว่างการตรวจผู้ป่วยจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของรังสีแพทย์ โดยจะให้ผู้ป่วยหายใจเข้า/ออก หรือ กลั้นหายใจเป็นครั้งๆ เพื่อให้ได้ภาพการตรวจที่มีคุณภาพและแปลผลได้แม่นยำ หากผู้ป่วยมีปัญหาเรื่องการฟังหรือกลั้นหายใจอาจจะจำเป็นต้องมีญาติช่วยเหลือขณะทำการตรวจ หรือเปลี่ยนชนิดการตรวจ ระหว่างการตรวจอาจต้องมีการพลิกตะแคงตัว หรือลุกนั่ง
- การเตรียมตัวตรวจระบบทางเดินปัสสาวะและช่องท้องส่วนล่าง (Ultrasound KUB System and Lower Abdomen)
- ผู้ป่วยไม่ต้องงดน้ำและอาหาร สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ หากมีโรคประจำตัวให้ทานยาได้ตามปกติ
- การตรวจจำเป็นต้องให้มีปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะด้วย ดังนั้นผู้ป่วยจะต้องกลั้นปัสสาวะขณะรอเข้าตรวจ เจ้าหน้าที่ประจำห้องตรวจอาจให้ผู้ป่วยดื่มน้ำเพิ่มในบางกรณี
- ระหว่างการตรวจผู้ป่วยจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของรังสีแพทย์ โดยจะให้ผู้ป่วยหายใจเข้า/ออก หรือ กลั้นหายใจเป็นครั้งๆ เพื่อให้ได้ภาพการตรวจที่มีคุณภาพและแปลผลได้แม่นยำ หากผู้ป่วยมีปัญหาเรื่องการฟังหรือกลั้นหายใจอาจจะจำเป็นต้องมีญาติช่วยเหลือขณะทำการตรวจ หรือเปลี่ยนชนิดการตรวจ ระหว่างการตรวจอาจต้องมีการพลิกตะแคงตัว หรือลุกนั่ง
ข้อบ่งชี้
- ดูความผิดปกติทั่วๆ ไป เช่น นิ่วในไต, นิ่วในถุงน้ำดี, ก้อน เนื้อในตับ เป็นต้น
- ดูลักษณะ ตำแหน่ง และขนาดของก้อนเนื้องอก
- ติดตามดูความเปลี่ยนแปลงของรอยโรค
- ดูความผิดปกติของเส้นเลือดดำ, เส้นเลือดแดง ว่ามีการอุดตัน, โป่ง หรือขอด เป็นต้น
ระยะเวลาทำหัตถการ 30-60 นาที
คำแนะนำอื่นๆ
การตรวจอวัยวะในช่องท้องส่วนบนจำเป็นควรงดอาหารอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงก่อนการตรวจ เพราะอาหารจะทำให้ถุงน้ำดีหดตัวขับน้ำดีออกมาทำให้เห็นถุงน้ำดีไม่ชัดเจน ในเด็กทารกอาจลดลงเหลือเพียง 3-4 ชั่วโมง หรือในคนที่ตัดถุงน้ำดีไปแล้วก็ไม่จำเป็นต้องงดอาหาร
ข้อจำกัดในการตรวจ
- การตรวจ Ultrasound ไม่สามารถตรวจอวัยวะที่มีลมได้ เช่น ปอด ลำไส้ กระเพาะอาหาร เป็นต้น เพราะอากาศจะไม่สะท้อนคลื่น Ultrasound กลับ ทำให้ไม่สามารถรับสัญญาณมาสร้างภาพเพื่อการวินิจฉัยได้
- การตรวจ Ultrasound ไม่สามารถตรวจอวัยวะที่เป็นกระดูกหรือถูกกระดูกบังได้ เพราะกระดูกจะสะท้อนคลื่น Ultrasound กลับ และไม่สามารถทะบุทะลวงลงไปอวัยะต่างๆ ได้
ข้อมูลเบื้องต้น
การตรวจวัดความหนาแน่นมวลกระดูก (Bone Mineral Density-BMD) เป็นการตรวจหาค่าความหนาแน่นของกระดูกตามส่วนต่าง ๆ ด้วยวิธีการเอกซเรย์พลังงานต่ำ โดยใช้เครื่อง DEXA scan (Dual Energy X-Ray Absorption) ใช้ปริมาณรังสีน้อย มีความปลอดภัย และความแม่นยำสูง ช่วยให้ทราบว่าสุขภาพของกระดูกมีความแข็งแรงระดับใด และมีภาวะกระดูกพรุนหรือไม่ มากน้อยเพียงใด
การเตรียมตัวตรวจ
ไม่ต้องมีการเตรียมตัวหรืองดน้ำและอาหาร
ข้อบ่งชี้
- ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
- ผู้หญิงที่หมดประจำเดือนก่อนอายุ 45 ปี
- ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีค่าดัชนีมวลกายน้อยกว่า 19
- ผู้ชายอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป ที่มีภาวะขาดฮอร์โมนเพศชาย
- ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคตับเรื้อรัง โรคไตเรื้อรัง โรครูมาตอยด์ ภาวะการดูดซึมของระบบทางเดินอาหารผิดปกติ โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง โรคต่อมไทรอยด์ และโรคต่อมพาราไทรอยด์
- มีประวัติเคยมีกระดูกสะโพกหัก หรือกระดูกหักที่ตำแหน่งอื่นๆ จากอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรง
- มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน
- ผู้ที่สูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
- ผู้ที่ได้รับยาบางชนิด เช่น ยาสเตียรอยด์ ยารักษาโรคไทรอยด์ ยารักษามะเร็ง ฯลฯ ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
ระยะเวลาทำหัตถการ 15 - 20 นาที
คำแนะนำอื่นๆ
ภาวะกระดูกพรุน (Osteoporosis) คือภาวะที่มีความหนาแน่นของเนื้อกระดูกลดลง จึงส่งผลให้กระดูกขาดความแข็งแรง กระดูกแตกหักได้ง่ายแม้เกิดอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย ถ้ากลไกการสร้างและทำลายกระดูกไม่สมดุลกัน เช่น มีการสร้างกระดูกน้อยเกินไป ขาดแคลเซียม หรือกระดูกเกิดการสลายมากเกิน ก็จะทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนได้ ดังนั้นเราควรที่จะป้องกันหรือรีบรักษาภาวะกระดูกพรุนตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เพื่อป้องกันไม่ให้มีกระดูกหักเกิดขึ้น สำหรับวิธีที่นิยมทำกันในปัจจุบัน คือการตรวจวัดความหนาแน่นมวลกระดูก (Bone Mineral Density-BMD)
ข้อจำกัดในการตรวจ ควรแจ้งแพทย์ให้ทราบก่อนการตรวจ
- หากสงสัยว่าตั้งครรภ์ หรืออยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์
- กรณีที่มีโลหะฝังอยู่ในร่างกาย เช่น ใส่ข้อสะโพกเทียม
- ผู้ที่เพิ่งเข้ารับการตรวจที่ต้องรับประทานสารทึบรังสี หรือสารกัมมันตรังสี
ข้อมูลเบื้องต้น
การตรวจเต้านมระบบดิจิตอลหรือแมมโมแกรม เป็นการตรวจหาความผิดปกติ ตรวจหารอยโรคบริเวณเต้านม เช่น การตรวจหาจุดหินปูน ก้อนเนื้อ ถุงน้ำ หรือต่อมน้ำเหลืองบริเวณเต้านม ซึ่งในการตรวจจะมีการเอกซเรย์เต้านมในท่าต่างๆ เพื่อให้เห็นเนื้อเยื่อเต้านมหรือรอยโรคต่างๆ ได้อย่างชัดเจน โดยทั่วไปการตรวจเอกซเรย์เต้านมจะมีการตรวจอัลตร้าซาวด์เต้านมร่วมด้วย
การเตรียมตัวตรวจ
- งดทาโลชั่น สารระงับกลิ่นกาย หรือแป้งฝุ่นที่บริเวณหน้าอกและใต้รักแร้ หรือสิ่งอื่นใด บริเวณเต้านม และ รักแร้ทั้งสองข้างเพราะจะมีผลต่อภาพเอกซเรย์
- ไม่ต้องงดน้ำหรืออาหารสามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ
- เวลาที่เหมาะสมในการตรวจ คือ ช่วงหลังจากหมดประจำเดือน เพราะเป็นช่วงที่เต้านมไม่บวมมาก ทำให้ไม่เจ็บ และเป็นช่วงที่สามารถพบความผิดปกติได้ง่าย
- กรณีที่เปลี่ยนสถานบริการตรวจ ควรนำภาพและผลการตรวจมาใช้ในการเปรียบเทียบด้วย
- ก่อนทำการตรวจผู้ป่วยจะต้องแจ้งเจ้าหน้าที่หรือรังสีแพทย์ทุกครั้ง หากท่านมีปัญหาเกี่ยวกับเต้านม เช่น คลำพบก้อน หรือมีของเหลวไหลออกจากหัวนมโดยไม่ทราบสาเหตุ เคยผ่าตัดหรือเคยเจาะตรวจชิ้นเนื้อเต้านมมาก่อน หรือคลำก้อนได้ที่เต้านม
ข้อบ่งชี้
- แนะนำให้ทำแมมโมแกรมครั้งแรก เพื่อเป็นพื้นฐานเมื่ออายุ 35 - 40 ปี จะแนะนำให้ตรวจเป็นประจำทุก 1 ปี เพื่อตรวจหาความผิดปกติของเต้านม
- ผู้ที่มีญาติสายตรงในครอบครัวมีประวัติเป็นมะเร็งเต้านม (แม่ พี่สาวหรือน้องสาว) ควรได้รับการตรวจแมมโมแกรม
- สตรีผู้ไม่มีบุตร หรือตั้งครรภ์แรกเมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไป
- ผู้ที่เป็นมะเร็งเต้านมแล้ว 1 ข้าง พบว่าจะมีโอกาสเป็นอีกข้างสูงถึง 5 เท่า
ระยะเวลาทำหัตถการ
การตรวจจะใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที โดยมีการถ่ายภาพเอกซเรย์เต้านม 4 รูป แบ่งเป็นข้างละ 2 รูป ยกเว้นในผู้รับบริการที่เสริมเต้านมจะถ่าย 8 รูป แบ่งเป็นข้างละ 4 รูป โดยเครื่องเอกซเรย์จะกดเต้านมไว้ประมาณ 10 วินาที เพื่อให้เนื้อเยื่อเต้านมกระจายออก ซึ่งจะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ ผู้รับบริการจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อยในขณะที่ถูกกดเต้านม
ข้อจำกัดในการตรวจ ควรแจ้งแพทย์ให้ทราบก่อนการตรวจ
- หากสงสัยว่าตั้งครรภ์ หรืออยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์
- ผู้ที่เพิ่งเข้ารับการตรวจที่ต้องใช้สารกัมมันตรังสี
ข้อมูลเบื้องต้น
เทคโนโลยี Dental CT Scan หรือการถ่ายภาพรังสีฟัน 3 มิติ เป็นเทคโนโลยีทางทันตกรรม ที่ช่วยให้ทันตแพทย์ประเมิน และวางแผนรักษาการฝังรากฟันเทียมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยี CT Scan สามารถช่วยกำหนดตำแหน่งที่จะทำการฝังรากฟันเทียมได้อย่างแม่นยำ ทันตแพทย์สามารถตรวจสอบ ประเมินกระดูกขากรรไกรของคนไข้ว่ามีความหนาแน่นพอหรือไม่ที่จะเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม
- สามารถมองเห็นได้ 3 มิติ คือ ทั้งภาพตัดแนวแกนกลางหรือบน-ล่าง ภาพตัดแนวขวางและภาพแนวกว้างทั้งหมด
- สามารถให้ข้อมูลรายละเอียดของกระดูกทั้งในเชิงคุณภาพ (Quality) และปริมาณ (Quantity)
- ทำให้ได้ข้อมูลที่มีความแม่นยำและเที่ยงตรงทางด้านกายวิภาคของคนไข้ เนื่องจากข้อมูลที่ได้จากเครื่องถ่ายภาพรังสีช่องปากในระบบ 3 มิติ หรือ Dental CT Scan จะไม่เกิดบิดเบี้ยวเลย
- ช่วยในขั้นตอนการวางแผนการรักษาได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น เช่น บริเวณที่จะทำรากเทียมมีความหนาของกระดูกไม่เพียงพอ จึงต้องเพิ่มขั้นตอนการปลูกกระดูกในบริเวณที่จะฝังรากเทียมให้มีขนาดที่ เหมาะสมก่อนการฝังรากเทียม
- ช่วยในการทำแบบจำลอง (Surgical stent) ที่จะวางตำแหน่งรากเทียมในขั้นตอนการผ่าตัดปลูกรากเทียม
การเตรียมตัวตรวจ
ไม่ต้องมีการเตรียมตัวหรืองดน้ำและอาหาร
ข้อบ่งชี้
- เพื่อประเมินฟันคุด ฟันฝัง หรือพยาธิสภาพ รวมถึงความสัมพันธ์กับอวัยวะอื่นซึ่งภาพถ่ายรังสีปกติให้ข้อมูลได้ไม่ครบภ้วน และเพื่อวิเคราะห์และวางแผนในการรักษา
- เพื่อวางแผนการรักษา และใช้ติดตามผลการรักษาบริเวณที่อาจมีความเสี่ยงต่อความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการจัดฟัน
- ช่วยในการทำแบบจำลอง (Surgical stent) ที่จะวางตำแหน่งรากเทียมในขั้นตอนการผ่าตัดปลูกรากเทียม
ข้อจำกัดในการตรวจ ควรแจ้งแพทย์ให้ทราบก่อนการตรวจ
- หากสงสัยว่าตั้งครรภ์ หรืออยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์
- ผู้ที่เพิ่งเข้ารับการตรวจโดยใช้สารกัมมันตรังสี
ข้อมูลเบื้องต้น
เป็นการตรวจทางรังสีของฟันและช่องปาก โดยการถ่ายภาพทางรังสีฟันครบทั้ง 32 ซี่ เพื่อดูความผิดปกติของฟันและช่องปาก
การเตรียมตัวตรวจ
ไม่ต้องมีการเตรียมตัวหรืองดน้ำและอาหาร
ข้อบ่งชี้
- การเอกซเรย์ฟันเพื่อถอนฟันหรือผ่าฟันคุด
- การเอกซเรย์เพื่อตรวจดูรอยผุของฟันด้านประชิด
- การเอกซเรย์ฟันเพื่อการรักษารากฟัน
- การเอกเรย์ฟันเพื่อการรักษาโรคปริทันต์อักเสบ
- การเอกซเรย์ฟันเพื่อการจัดฟัน
- เพื่อวิเคราะห์ลักษณะปกติ ผิดปกติ การมีอยู่ และพยาธิสภาพบริเวณฟัน รากฟัน อวัยวะปริทันต์ กระดูกขากรรไกร รวมไปถึงข้อต่อขากรรไกร โพรงอากาศขากรรไกรบน
- เพื่อวิเคราะห์การเอียงตัวของฟันและรากฟัน
ข้อจำกัดในการตรวจ ควรแจ้งแพทย์ให้ทราบก่อนการตรวจ
- หากสงสัยว่าตั้งครรภ์ หรืออยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์
- ผู้ที่เพิ่งเข้ารับการตรวจโดยใช้สารกัมมันตรังสี
ข้อมูลเบื้องต้น
เครื่องเอกซเรย์ถ่ายภาพรังสีทั่วไประบบดิจิทัล สามารถเอกซเรย์ได้ทุกส่วนของร่างกาย เช่น กระโหลกศีรษะ ทรวงอก ช่องท้อง สะโพก กระดูกรยางค์ส่วนบนและส่วนล่าง ภาพถ่ายเอกซเรย์จะเป็นภาพดิจิทัล ที่มีความละเอียดสูง สามารถปรับความขาวความดำ ความคมชัด และขยายภาพ เพื่อหารอยโรคได้ตามต้องการ ทำให้แพทย์ที่ทำการตรวจรักษาได้อย่าง ถูกต้อง รวดเร็ว แม่นยำ การสร้างภาพดิจิทัลจะใช้เทคโนโลยีการแปลงสัญญาณภาพของ Flat Panel Detector ที่ให้รายละเอียดของภาพสูง ร่วมกับระบบควบคุมปริมาณรังสี แบบอัตโนมัติ (Automatic exposure control; AEC) เพื่อให้การเอกซเรย์ผู้ป่วยเป็นไปอย่างปลอดภัย ผู้ป่วยได้รับปริมาณรังสีที่เหมาะสมและได้ภาพที่มีคุณภาพเหมาะสมสำหรับการวินิจฉัยโรคต่อไป
การเตรียมตัวตรวจ
- ไม่ต้องมีการเตรียมตัวหรืองดน้ำและอาหาร
- ไม่ควรนำเครื่องประดับหรือโลหะติดตัวเข้าไป
- ควรสวมใส่เสื้อผ้าสบายๆ เพราะในการเอกซเรย์บางชนิดผู้เข้ารับการตรวจจะได้รับการเปลี่ยนเสื้อผ้าตามที่โรงพยาบาลกำหนดไว้ เมื่อเข้าสู่การเอกซเรย์ให้จัดท่าทางของร่างกายตามคำสั่งของผู้เชี่ยวชาญ ผู้เข้ารับการตรวจจำเป็นต้องอยู่นิ่งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้ได้ภาพที่ชัดเจนที่สุด
ข้อบ่งชี้ : มีข้อบ่งชี้ตามการวินิจฉัยของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ระยะเวลาทำหัตถการ : 15-30 นาที
ข้อจำกัดในการตรวจ ควรแจ้งแพทย์ให้ทราบก่อนการตรวจ
- หากสงสัยว่าตั้งครรภ์ หรืออยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์
- ผู้ที่เพิ่งเข้ารับการตรวจที่ต้องรับประทานสารทึบรังสี หรือสารกัมมันตรังสี
วันเวลาทำการ
แผนกรังสีวิทยา ชั้น 1 โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล
วันจันทร์ - วันอาทิตย์ เวลา 08:00 - 20:00 น. โทรศัพท์ : 02-109-9111 ต่อ 10136, 10137, 10138
ศูนย์ MRI ชั้น 1 ตึก MRI โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล
วันจันทร์ - วันอาทิตย์ เวลา 08:00 - 23:00 น. โทรศัพท์ : 02-109-9111 ต่อ 20100, 20101, 20102
ติดต่อสอบถาม
Call Center: 1745